ย้อนอดีต "ซีวิค"
Birth of the Civic
ฮอนด้าเผยโฉมซีวิคเจเนอเรชั่นแรกในเดือนกรกฎาคม ปี 1972 ด้วยตัวถังแบบ "shortbacked" 2 ประตู ซีวิค รุ่นแรกมาพร้อมกับขุมพลังแบบ 4 สูบ SOCH ขนาด 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 54 แรงม้า จุดเด่นอยู่ที่นำอะลูมิเนียมมาผลิตเครื่องยนต์ และที่สำคัญเครื่องยนต์บล็อกนี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยี CVCC (Compound Vortex Combustion ) ที่ช่วยลดปริมาณของไอเสียที่ถูกปล่อยออกสู่ตลาด
ถัดมาก็ได้เปิดตัวแฮทช์แบ็ค 3 ประตู ต่อมาอีก 2 ปี ฮอนด้าได้เพิ่มตัวถังแบบ เอสเตท 5 ประตู นอกจากนี้ยังเปิดตัวรุ่นพิเศษ "RS" ในตัวถังแฮทช์แบ็ค 3 ประตู แต่ขนาดเครื่องยนต์เท่าเดิมเพิ่มแต่แรงม้าเป็น 76 แรงม้า จนในปี 1977 ซีวิคในรุ่นแฮทช์แบ็ค 3 ประตู ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นและในแถบยุโรป ฮอนด้า ตัดสินใจที่จะส่งฮอนด้า ซีวิคไปในรุ่นแฮทช์แบ็ค 5 ประตู เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
Second Generationในปี 1979
ฮอนด้า เปิดตัวซีวิครุ่นแฮทช์แบ็ค 3 ประตู และแฮทช์แบ็ค 5 ประตู และได้มีการพัฒนาตัวถังให้มีขนาดใหญ่ขึ้นในทุกมิติเพื่อเพิ่มเนื้อที่ใช้สอยภายใน สำหรับในรุ่นนี้มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือ 4 สูบ OHC 1.3 ลิตร 68 แรงม้า และเครื่องยนต์ 4 สูบ OHC 1.5 ลิตร 80 แรงม้า ขณะที่ระบบส่งกำลังจากเดิมที่เป็นเกียร์ธรรมดา 4 สปีค เปลื่ยนมาเป็น 5 สปีค และปีต่อมานำรุ่นซีดาน 4ประตู สู่ตลาดโลก แถมในรุ่นนี้ยังทำการผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก คือประเทศอังกฤษ
Third Generation
ปี 1983 ถึงคิวของซีวิค เจเนลเรชั่นที่ 3 โดยครั้งนี้ฮอนด้าได้มีการออกแบบซีวิคใหม่เอี่ยมอ่อง ไม่หลงเหลือเค้าโครงเดิมของรุ่นที่ผ่านมาแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นที่เน้นเส้นสายดีไซน์อันโฉบเฉี่ยวและความหรูหราจากรถยนต์ยุโรป เรียกการออกแบบในลักษณะนี้ว่า "Europeanised Styte" เจเนลเรชั่นนี้นอกจากมีรุ่น แฮทช์แบ็ค 3 ประตู ,4 ประตู ฮอนด้ายังเพิ่มรุ่นใหม่คือ "ซีวิค ซีอาร์-เอ็กซ์ รถแบบสปอร์ตคูเป้ ที่มาพร้อมกับขุมพลังแบบ 4สูบ 1.5 ลิตร ให้กำลัง 100 แรงม้า
ที่สำคัญในปี 1984 ซีวิคในรุ่นแฮทช์แบ็ค 3 ประตูได้รับรางวัล "Car-Design-Award 1984 " จากประเทศอิตาลี นอกจากนี้ยังเริ่มพัฒนาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบเรียลไทม์ด้วย นอกจากนี้ยังมีการนำระบบกรองไอเสีย Catalytic Converters มาใช้เป็นครั้งแรกในเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร
Fourth Generation
ในเจเนอเรชั่นนี้มีหลายชิ้นส่วนหลักได้รับการพัฒนาขึ้นจากเดิมมากตั้งแต่เครื่องยนต์แบบ 16 วาล์ว ที่มาพร้อมระบบที่สร้างชื่อเสียงให้กับฮอนด้านั่นคือ VTEC หรือระบบวาล์วแปรผัน ส่งผลให้เครื่องยนต์มีกำลังสูงขึ้นทั้งในรอบต่ำและรอบสูง นอกจากนี้ยังมีระบบช่วงล่างแบบดับเบิลวิชโบน ที่ฮอนด้าเชื่อมั่นมากในประสิทธิภาพการควบคุมรถ รูปลักษณ์ภายนอกออกมาในแนวสปอร์ตมากขึ้นคือเน้นความเพรียว บางมากกว่าเดิม
ขุมพลังแบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VTEC ที่สามารถสร้างแรงม้าจากเครื่องยนต์ 1590 ซีซี ได้มากถึง 130 แรงม้า และเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว SOHC ในรหัส D15B ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า สำหรับรุ่นที่จำหน่ายในไทยจะเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว SOHC จ่ายน้ำมันด้วยระบบคาร์บิวเรเตอร์ แรงม้าสูงสุด 90 แรงม้า
Fifth Generation
โมเดลในปี 1991 ถือเป็นซีวิค อีกหนึ่งรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในตระกูลซีวิค ทั้งในรุ่นซีดานและแฮทช์แบ็ค ด้วยรูปโฉมการออกแบบที่ร่วมสมัยเน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่นแฮทช์แบ็ค 3 ประตู ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งบนถนนปกติและในสนามแข่ง มีเครื่องยนต์ให้เลือกตั้งแต่ 90 แรงม้าไปจนถึง 170 แรงม้า ในเครื่องยนต์ VTEC รหัส B16A และอีก 2 ปีต่อมา ฮอนด้าเปิดตัวรุ่นคูเป้ มาพร้อมกับขุมพลัง VTEC 170 แรงม้า ซึ่งรุ่นนี้เป็นการพัฒนาขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาและจำหน่ายในประเทศ
Sixth Generation
มีการเปิดตัวพร้อม ๆกันถึง 3 รุ่น คือแฮทช์แบ็ค 3 ประตู ซีดาน 4ประตู และแบบคูเป้ 2 ประตู สำหรับรุ่นนี้โครงสร้างพื้นฐานหลักใช้ร่วมกับรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์-วี รถยนต์เอสยูวีร่วมค่าย รูปลักษณ์ภายนอกมีขนาดใหญ่ขึ้น ต่อมาในปี 1998 ฮอนด้าเอาใจคนที่รักความเร็วด้วยการออกรุ่นพิเศษ "ซีวิค ไทพ์ อาร์ " ซึ่งได้รับการตกแต่งพิเศษทั้งภายนอกและภายในที่โดดเด่นเห็นจะเป็นเบาะนั่งคู่หน้าเพราะเป็นสีแดงสดจาก "RECARO" ขณะที่ขุมพลังใช้รหัส B16B ซึ่งพัฒนามาจากรุ่น B16A แรงม้าขยับขึ้นเป็น 185 แรงม้า
Seventh Generation
ฮอนด้า ซีวิค ในเจเนอเรชั่นที่ 7 เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี 2000 และเริ่มจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในช่วงต้นปี 2001 ก่อนหน้าประเทศไทยเพียงไม่กี่เดือน ด้วย 3 ตัวถังคือ ซีดาน แฮทช์แบ็ค 3 ประตู 5 ประตู และคูเป้ ซึ่งในเมืองไทยมีจำหน่ายเพียงรุ่นเดียวคือ 4 ประตู
สำหรับขุมพลังเป็นรหัส D17A เป็นเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ขนาดความจุเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 ลิตร 130 แรงม้า ระบบส่งกำลังมีให้เลือกถึง 3 คือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีค เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีค และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT หรือจะเลือกร้อนแรงสไตล์สปอร์ตกับเครื่องงยนต์อัจฉริยะ I-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูล 16 วาล์ว 155 แรงม้า พร้อมด้วยเทคโนโลยีระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีค และขุมพลังที่มีความรุนแรงที่สุดที่อยู่ใต้ฝากระโปรงของซีวิค ไทร์-อาร์
มาถึงปัจจุบัน ซีวิค เจเนอเรชั่นที่ 8 ได้เปิดตัวสู่ตลาดรถยนต์แล้วทั้งในยุโรป และอเมริกา สำหรับคนไทยเองก็จะได้สัมผัสกับเจ้า ซีวิค ใหม่ในเร็ววันนี้ และเชื่อว่าฮอนด้า ซีวิคใหม่น่าจะประสบความสำเร็จในตลาดรถเมืองไทยอย่างเช่นที่ผ่านมา เพราะบรรดาสาวกที่จงรักภักดีกับฮอนด้าคงจะถูกอกถูกใจกับเจเนอเรชั่นล่าสุดของซีวิคอย่างแน่นอน
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น