เริ่มต้นด้วยของที่ต้องใช้ก้อมี
หัวปัดผ้า แอร์กอฮอล์ ไขปลาวาฬ มอเตอร์หินขัด บัสซี่(น้องบัสโซ) และที่สำคัญที่สุด ความบ้า
(อุปกรณ์ทั้งหมดของบริษัท ตัวเองออกแรงอย่างเดียว อิอิ)
อันนี้บาร์เดิมๆ มีเนิยมออกจากโรงกลึงหมาดๆ เช็ดด้วยแอลกอฮอล์เอาคราบต่างๆ ออก
และตามด้วยพระเอกของเรา ไขปลาวาฬ (ไม่มีไม่ได้) ก้อนละสองร้อย แถวคลองถมมีขาย
แล้วก้อเอาไขปลาวาฬถูกับหัวผ้าซะ
จากนั้นก้อ ขัดๆๆๆๆๆ ล้างๆๆๆๆ สลับกันไปๆ มาๆ จนเหนื่อย
จะมีคราบเหลืออยู่ ไม่ต้องตกใจ เป็นทำมะดา จะเริ่มเห็นความแตกต่าง แบบจะจะ
ตามด้วยเอาพระรองของเรา บัสซี่ น้อง บัสโซ เท ราด เช็ด ปัด ทำวนไป วนมา จนเหนื่อยอีก
จากนั้นเอา บัสซี่ลงอีกรอบ คราวนี้ขัดมือ ขัดๆๆๆๆๆ โอย เหนื่อยว้อยยย
เมื่อเนียนจนพอใจ รึ หมดแรง ก้อเอาไปติดตั้ง จบ เสร็จซะที
ไว้คราวหน้ามีอะไรแผลงๆ จะเอามาลงอีก
ขอบคุณที่ติดตาม
ขอบคุณ คุณจุ้ยที่ให้ข้อมูลดีๆนะครับ
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552
อุปกรณ์ของเล่น เกจ์วัดค่าต่างๆ กับระบบสารหล่อลื่น ที่น่ารู้
หลังจากที่เราได้ศึกษาข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประเภทน้ำมันเครื่อง หน้าที่ ค่าความหนืด เบอร์ต่างๆ การเลือกซื้อ และเลือกใช้น้ำมันเครื่อง ต่อไปจะมาดูกันว่า วิธีเล่นแรงแบบต่างๆ กับระบบหล่อลื่น เราจะเริ่มต้นจากวิธีใด และของเล่นสำหรับรถแรงที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเครื่อง นั้นมีอะไรกันบ้าง
เล่นแรงง่ายๆ กับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ใสขึ้นอีกสักเบอร์
การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ ความหนืดลดลงสักเบอร์เป็นวิธีสร้างความแรง และความคล่องตัวให้กับเครื่องยนต์ได้อย่างง่ายๆ แน่นอนน้ำมันเครื่องยิ่งใส ความหนืดย่อมน้อยลง ความต้านทานการไหลต่ำ ก็ยิ่งทำให้เครื่องยนต์มีแรงเสียดทานลดลง รอบเครื่องยนต์กวาดได้ไวขึ้น แต่การจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ใสขึ้น เช่นจาก เบอร์ 50 เป็นเบอร์สัก 40 หรือจะเหลือเพียงเบอร์ 30 นั้นต้องคำนึงถึง สภาพของเครื่องยนต์ว่าต้องฟิตจริงๆ การออกแบบเครื่องยนต์รองรับกับน้ำมันเครื่องความหนืดต่ำ มิฉะนั้นโอกาสชาร์ปละลายก็เป็นไปได้สูง เช่นสำหรับเครื่องที่เป็นไฮโดรลิกวาล์ว พวกนี้ต้องการน้ำมันเครื่องที่ค่อนข้างใส ราวเบอร์ 30 – 40 และสำหรับเครื่องพวกโซ่ราวลิ้นจะต้องการความหนืดที่เบอร์ 50 – 60 และสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลฟิตปั๊ง การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องจากเบอร์ 40 มาเป็นเบอร์ 30 จะทำให้เครื่องยนต์เร่งรอบเครื่องได้เร็วขึ้นอีกมาก แต่ถ้าจะพูดถึงรถแข่งระดับโลกอย่างรถ Dragter ที่วิ่งกันความเร็วเพียง 4 – 5 วินาที เบอร์น้ำมันเครื่องอาจจะลดต่ำถึงเบอร์ 0W-10 หรือ 0W-20 เรียกว่าหล่อลื่นแบบไร้แรงเสียดทาน หรือจะหันมาคบกับน้ำมันเครื่องเกรดรถแข่งหรือ Racing Oil ราคาก็ไม่แพงมาก ราวหลักพันต้นๆ ถึงหลักพันปลายๆ ต่อลิตรเท่านั้นเอง
เล่นแรงกับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
ส่วนมากรถแรงๆ หรือรถแข่ง มักจะเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด (เท่าที่จะหาได้) ซึ่งหนีไม่พ้นน้ำมันเครื่องแบบ สังเคราะห์แน่นอนน้ำมันเครื่องแบบนี้ มีคุณสมบัติที่ดีกว่าน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาตรงที่ มีอายุการใช้งานได้ยาวนานมาก คงคุณสมบัติในการหล่อลื่นไม่ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น หรือต่ำลงซักเพียงใด ฟิล์มน้ำมันยังแข็งแรงกว่า ไม่เสื่อมสภาพง่าย และแน่นอน การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบธรรมดา เป็นน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ จะทำให้รถแรงขึ้น ขับลื่นขึ้น เสียงเครื่องเงียบลง เครื่องยนต์สึกหรอช้าลง หรือที่เรียกว่าจ่ายแพงครั้งเดียว แต่ใช้งานได้อีกนาน
Oil Additives
อัพเกรดน้ำมันเครื่องเพิ่มแรงม้า ด้วยหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง
แน่นอนที่สุดกับวิธีเพิ่มแรงม้าที่พิสูจน์ได้ว่า ง่ายที่สุด ใช้จ่ายน้อยที่สุด ก็เห็นเป็นเพียงการผสมหัวเชื้อน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด กับน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาที่ใช้อยู่ หัวเชื้อน้ำมันเครื่องถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำมันเครื่อง ซึ่งส่วนมากน้ำมันเครื่องที่ขายอยู่ในท้องตลาด ก็มีการผสมหัวเชื้ออยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ปริมาณจะน้อยมาก การเพิ่มปริมาณของหัวเชื้อ หรือ Additiveให้มีปริมาณมากขึ้น เป็นการอัพเกรดน้ำมันเครื่องให้สูงกว่ามาตรฐาน และจะทำให้น้ำมันเครื่องมีคุณสมบัติในการหล่อลื่นดีมากยิ่งขึ้น ยิ่งลื่นมากขึ้น แรงเสียดทานก็น้อยลง เครื่องยนต์จึงแรงขึ้น ความร้อนลดลง ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น สึกหรอช้าลง อายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องยาวนานขึ้น และหัวเชื้อยังเหมาะสำหรับรถแข่ง หรือรถที่โมดิฟลายในระดับสูง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจไม่คาดคิด เช่นในกรณีน้ำมันเครื่องเกิดขาดระบบชั่วคราว เช่นเครื่องดูดน้ำมันเครื่องขึ้นไม่ทัน น้ำมันเครื่องรั่ว หรือปั้มน้ำมันเครื่องพัง แต่หัวเชื้อจะดีเพียงใด ขึ้นอยู่กับสูตรสำเร็จที่ผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง แต่ละยี่ห้อที่พยามยามทำออกมาขาย ซึ่งผู้ซื้อต้องเลือกให้ดีๆเท่านั้นเอง
Oil Press
เกจ์วัดแรงดันน้ำมันเครื่อง
อุปกรณ์ตัวนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อประดับให้รถดูสวยงามเท่านั้น สำหรับรถธรรมดา และรถแข่งแบบโมดิฟลายแบบเต็มพิกัด เกจ์วัดเป็นได้ตั่งแต่การบ่งบอกถึงระดับแรงดันของน้ำมันเครื่องซึ่งแสดงในรูปแบบของเข็มชี้วัดแรงดันเป็น ปอนต์ หรือ Psi การใช้งานของเกจ์วัด เริ่มตั่งแต่สตาร์ทเครื่อง ซึ่งจะสังเกตได้ว่า แรงดันน้ำมันเครื่องจะสูงมาก ซึ่งแสดงถึงความหนืดของน้ำมันเครื่องก่อนสตราท์เครื่องยนต์ค่อนข้างสูง เพราะที่อุณหภูมิต่ำน้ำมันเครื่องจะหนืดข้นขึ้น จนถึงระดับอุณหภูมิเครื่องยนต์ใช้งานปกติ แรงดันน้ำมันเครื่องจะลดกลับลงมาสู่แรงดันที่แท้จริง แต่ถ้าเครื่องยนต์มีการใช้งานหนัก เช่นขับลากรอบสูงๆอย่างต่อเนื่อง หรือเหนี่ยวกันยาวๆ แรงดันน้ำมันเครื่องอาจค่อยๆลดต่ำลง ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าน้ำมันเครื่องใกล้ถึงจุดเดือด ร้อนจนน้ำมันเครื่องเริ่มใสใกล้เป็นน้ำ หรือจะเดือดจนแทบกลายเป็นไอ น้ำมันเครื่องจะหมดประสิทธิภาพการหล่อลื่น เครื่องอาจชาร์ปละลายได้ แต่แรงดันตกลงอย่างกะทันหัน แสดงได้ว่าปั้มน้ำมันเครื่องกระจายเสียแล้ว หรือน้ำมันเครื่องรั่วไหลออกจากเครื่องจนใกล้หมด เกจ์วัดตัวนี้เป็นตัวช่วยแสดงให้เรารู้ว่าควรจะขยี้คันเร่งต่อ หรือจะผ่อนคันเร่ง หรือรีบจอด เพื่อรีบแก้ไข ก่อนที่จะได้ยกเครื่องใหม่อีกตัวนั่นเอง
Oil Temp
เกจ์วัดความร้อนน้ำมันเครื่อง
ความร้อนของน้ำมันเครื่อง มีความผกผันกับแรงดันของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องเมื่ออุณหภูมิต่ำ จะมีความหนืดสูง แต่เมื่ออุณหภูมิสูงความหนืดก็จะลดต่ำลง สำหรับเครื่องยนต์โมดิฟลาย เกจ์วัดความร้อนตัวนี้ เป็นตัวบ่งบอกถึงอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องในรูปแบบ องศาเซลเซียส (C) หรือเป็นแบบ ฟาเรนไฮต์ (F) ซึ่งต้องมีการจดบันทึกอยู่ตลอด อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องที่สูงเกินไป หมายถึงน้ำมันเครื่องจะมีความหนืดลดลง หมดสภาพในการหล่อลื่น เครื่องอาจพังในที่สุด ส่วนถ้าความร้อนน้ำมันเครื่องสูงอย่างต่อเนื่อง หมายถึงระบบการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ยังไม่เพียงพอ ต้องหาทางขยับขยายระบบระบายความร้อนให้ดีเพิ่มขึ้น เกจ์วัดตัวนี้ช่วยในการออกแบบ ระบบระบายความร้อน และแสดงให้รู้ถึงอุณหภูมิในเครื่องยนต์ที่แท้จริง
Oil Catch Tank
ถังดักไอน้ำมันเครื่อง
หลายคนยังแปลกใจว่าอุปกรณ์ตัวนี้มีหน้าที่อย่างไร ทำไมรถแต่งๆถึงนิยมติดตั้งกัน ถังดักไอมีหน้าที่ดักเอาไอของน้ำมันเครื่องที่มีความร้อนสูงจนเดือด เกิดการระเหยตัวกลายเป็นไอ คล้ายไอน้ำ ปะปนมากับแรงอัดของอากาศที่เล็ดลอดออกมาจากแหวนสูบ เครื่องยิ่งหลวมมาก แรงดัน และไอน้ำมันเครื่องยิ่งมีมาก ซึ่งปกติแล้วเครื่องยนต์ทุกตัว จะมีการระบายไอน้ำมันเครื่องออกมาทางส่วนเหนือสุดของเครื่อง เพื่อป้องกันแรงดันภายในเครื่องยนต์เกิน แล้วย้อนต่อกลับมาในคอไอดี เพื่อเผาไหม้ใหม่เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม แต่ถ้าไอน้ำมันเครื่อง มีปริมาณมากเกินไป ก็จะมีส่วนทำให้การจุดระเบิดของเครื่องยนต์ลดลง แทนที่เครื่องจะได้รับอากาศบริสุทธิ์ กับน้ำมันเชื้อเพลิงดีๆพร้อมลุกติดไฟ กลับได้ส่วนผสมของไอน้ำมันเครื่องที่จุดระเบิดติดยากยิ่งกว่า ผสมเข้าไปด้วย เครื่องจะสูญเสียกำลัง แถมอุณหภูมิของไอน้ำมันเครื่องมีสูง ทำให้อากาศที่ไหลเข้าห้องเผาไหม้มีความหนาแน่นลดลง ดังนั้นรถแต่ง หรือรถแรงๆ จะนิยมทำกรองดักไอน้ำมันเครื่องขึ้นมา เพื่อดักไอน้ำมันเครื่องให้หลงเหลือในปริมาณน้อยที่สุด
Oil Racing Filter
ไส้กรองน้ำมันเครื่องซิ่ง
ไส้กรองน้ำมันเครื่องสีสันสวยงาม แล้วมาโฆษณาอวดสรรพคุณอีกว่า กรองอนุภาคได้ดีกว่า แข็งแรงกว่า แต่ราคาก็แพงกว่ามาก แท้จริงแล้วกลับมีความจำเป็นมากกว่าที่คิด ไส้กรองซิ่งพวกนี้จะมีการออกแบบผ้ากรองได้ยอดเยี่ยมกว่า โดยสามารถกรองเอาสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับน้ำมันเครื่องได้มากกว่า ด้วยวัสดุที่ดีกว่า แถมยังทำให้น้ำมันเครื่องไหลผ่านได้รวดเร็วขึ้น เป็นผลทำให้แรงดันน้ำมันเครื่องสูงขึ้น และที่สำคัญด้วยวัสดุการประกอบภายนอกที่มีความแข็งแรง ทำให้ไส้กรองแบบนี้ สามารถรับมือกับแรงดันน้ำมันเครื่องที่สูงมากขึ้น อย่างในเครื่องยนต์ที่มีความเร็วรอบสูง หรือมีการแต่งปั้มน้ำมันเครื่องจนมีแรงดันสูงขึ้น จนไส้กรองแบบธรรมดารับมือไม่ไหว แตกกระจายแบบที่เห็นกันบ่อยๆ ไส้กรองแบบนี้จึงได้รับความนิยมสูง ตั่งแต่รถที่ต้องการให้เครื่องยนต์สะอาดขึ้น อายุของไส้กรองน้ำมันยาวนานขึ้น จนถึงรถแข่งที่ต้องการไส้กรองที่สามารถรับประกันได้ว่า ไส้กรองจะไม่เสียหายพ่นน้ำมันออกมา จนสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์
Oil Cooler
เพิ่มออยล์คูเลอร์ ระบายความร้อนให้กับน้ำมันเครื่อง
แน่นอนถ้าน้ำมันเครื่องเย็น ย่อมทำให้ความร้อนของเครื่องลดลง ดังนั้นการระบายความร้อนให้กับน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด คือการติดตั้งออยล์คูเลอร์ สังเกตได้ว่า เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จเจอร์จากโรงงานเกือบทุกตัว จะมีการติดตั้งออยล์คูเลอร์แถมมาให้ด้วย เป็นเพราะในเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ ต้องทำงานหนัก ความร้อนของเครื่องยนต์จะสูงขึ้นมาก ดังนั้นการลดความร้อนให้กับเครื่องยนต์ได้รวดเร็วที่สุด คือการลดความร้อนให้กับน้ำมันเครื่อง เพราะน้ำมันเครื่องมีหน้าที่ในการนำพาความร้อนของเครื่องในทุกส่วนของเครื่องมาระบายความร้อนให้เย็นลง ออยล์คูเลอร์มีส่วนในช่วยในการระบายความร้อนของน้ำมันเครื่อง และของเครื่องยนต์ซึ่งการทำให้ความร้อนของเครื่องยนต์เย็นลง มีส่วนในการยืดอายุของเครื่องยนต์ และอายุของน้ำมันเครื่องให้ใช้งานได้ยาวนานเพิ่มขึ้น
Oil Plumbing and Fittings
สายน้ำมันเครื่อง และข้อต่อแรงดันสูง
สายน้ำมันเครื่องแรงดันสูง หรือพวกสายถักสีสันสวยงาม สายพวกนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงาม หรืออย่างไร แต่สายแรงดันพวกนี้รถแรงๆมักนิยมหามาใส่กัน ด้วยเหตุผลที่ทนแรงดันของน้ำมันเครื่องได้สูงกว่าสายน้ำมันแบบทั่วๆไปมาก มีอายุการใช้งานได้ยาวนานกว่า และทนความร้อนได้สูงกว่า สายถักสแตนเลสพวกนี้ถูกออกแบบมาให้รับมือกับ เครื่องยนต์ที่มีการโมดิฟลายในระดับสูง เช่นเปลี่ยนปั้มน้ำมันเครื่องที่มีแรงดันสูง หรือรอบเครื่องสูงมากๆ การเดินสายแรงดันน้ำมันเครื่องในระยะทางไกล ป้องกันการเสียดสี แถมยังทนทานต่อแรงกระแทกในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย ดังนั้นเพื่อความชัวร์ รถแต่ง หรือแม้แต่รถแข่ง จะนิยมนำสายประเภทนี้มาใช้เป็นส่วนมาก โดยเฉพาะการใช้สายน้ำมันเครื่องแรงดันสูง กับหัวข้อต่อรับแรงดันอย่างดี เป็นการประกันได้ว่า โอกาสที่ท่อน้ำมันเครื่องจะแตกจะขาด หรือน้ำมันเครื่องจะรั่วออกมานั้น ควรจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย
Racing Oil Pump
ถ้าจะเล่นรอบสูงสักหมื่นรอบ ต้องปั้มน้ำมันเครื่องซิ่ง
จริงอยู่ปั้มนั้นเครื่องในรถทั่วๆไป สามารถสร้างแรงดันน้ำมันเครื่องได้สูง แต่ก็เป็นเพียงในรอบเครื่องที่ไม่สูงมากนัก ก่อนที่ปั้มน้ำมันเครื่องจะทำลายตนเอง เนื่องจากวัสดุไม่สามารถรองรับกับภาระการหมุนด้วยความเร็วรอบสูงๆ หรือไม่สามารถสร้างแรงดันน้ำมันไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆที่ต้องมีการหมุนด้วยความเร็วรอบสูงๆได้เพียงพอต่อความต้องการ ดั้งนั้นสำหรับเครื่องยนต์ที่มีการโมดิฟลายให้มีแรงม้าสูงขึ้น หรือใช้งานกับรอบเครื่องยนต์สูงมากๆ การเล่นแรงกับแรงดันน้ำมันเครื่องเห็นเป็นหนีไม่พ้นกับ ปั้มน้ำมันเครื่องซิ่งอีกสักชุด ด้วยการออกแบบ และการใช้วัสดุอย่างดี ปั้มน้ำมันเครื่องซิ่ง จากหลายยี่ห้อ จะถูกสร้างขึ้นมาให้ตรงตามการใช้งานของแต่ละรุ่นของเครื่องยนต์ ความต้องการความเร็วรอบสูงสุด หรือต้องการแรงดันน้ำมันเครื่องที่สูงมากขึ้น
Wet Sump
ขยายอ่างน้ำมันเครื่อง
ในบางครั้งเครื่องยนต์ที่มีรอบสูงมากขึ้น ปั้มน้ำมันเครื่องก็ต้องการน้ำมันเครื่องในปริมาณมากขึ้น อีกทั้งในการใช้งานที่แบบสมบุกสมบัน แซงซ้าย แซงขวา ออกตัวอย่างแรง เบรกอย่างกะทันหัน ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำมันเครื่องในอ่างน้ำมันเครื่องมีการกระเพื่อม ไหลวนไปมา ดังนั้นการเพิ่มความจุอ่างน้ำมันเครื่อง ให้มีปริมาณการรองรับน้ำมันเครื่องได้มากขึ้น อีกสัก 1 – 2 ลิตร เช่นจาก 4 ลิตร ไปเป็นซัก 6 ลิตร โดยการไม่ทำให้ระดับของน้ำมันเครื่องสูงขึ้น เห็นจะเป็นวิธีการนำแคล็งน้ำมันเครื่องเดิมออกมาตีกล่องขยายเพิ่มความจุ หรือหาแคล็งน้ำมันเครื่องซิ่ง ที่แต่สำนักต่างๆทำออกมาขายให้กับเครื่องยนต์แรงๆเกือบทุกรุ่น นั้นเห็นจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็เป็นการป้องกันได้ว่าจะโยนโค้งซักเพียงใด ออกตัวแรงแค่ไหน หรือรอบเครื่องจะสูงซักเท่าไหร่ น้ำมันเครื่องจะยังมีพอหล่อเลี้ยงในระบบไม่ขาดระยะ และแคล็งน้ำมันเครื่องซิ่งบางรุ่น ยังสามารถออกแบบมาเพื่อระบายความร้อนให้กับน้ำมันเครื่องได้อีกด้วย
Dry Sump
แรงสุดๆ ต้อง อ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง
วิธีที่เล่นแรงที่สุดกับระบบหล่อลื่น ในปัจจุบันต้องยกให้กับระบบ Dry Samp หรืออ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง ระบบนี้มีมาแต่โบราณ เป็นที่นิยมสำหรับรถสปอร์ตราคาแพง หรือพวกอย่างรถ Suprecar เกือบทุกรุ่น หรือในรถแข่ง ตั้งแต่รถ Drag Racing , Nascar , Rally หรือแม้แต่ F1 ต่างก็ใช้ระบบนี้ ด้วยการหลีกพ้นข้อจำกัดในระบบหล่อลื่นแบบธรรมดาทั้งหมด Dry Sum จะไม่มีอ่างน้ำมันเครื่อง หรือฝักบัวดูดน้ำมันเครื่อง แต่อาศัยหม้อพักน้ำมันเครื่องที่แยกอิสระออกจากตัวเครื่องยนต์ ส่งน้ำมันเครื่องมายัง Oil Pump ที่ทำงานด้วยไฟฟ้า หรือใช้สายพานจากมูเลย์เครื่องยนต์มาปั่นแม่ปั้ม คล้ายกับการทำงานของปั้มน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ หรือใช้เป็นระบบฟันเฟืองเชื่อมต่อการทำงานกับเครื่องยนต์ ปั้มน้ำมันเครื่องแรงดันสูงเข้าสู่เครื่องยนต์โดยตรง แล้วดูดน้ำมันเครื่องที่ไหลกลับมายังหม้อพักน้ำมันเครื่องอีกครั้ง Dry Sump มีข้อดีตรงที่เครื่องยนต์จะไม่มีอ่างน้ำมันเครื่องห้อยต่ำลงมา ใต้ท้องเครื่องยนต์เรียบสนิท จึงสามารถวางเครื่องยนต์ให้ต่ำลง เพื่อให้เกิดจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ รถยนต์ถึงจะเกาะถนนมากขึ้น และยังช่วยลดขีดจำกัดในการโมดิฟลายเครื่องยนต์ ที่อาศัยข้อเหวี่ยงเป็นตัววิดน้ำมันเครื่องในก้นแคล็ง ซึ่งแน่นอนการตัดภาระในจุดนี้เป็นการเพิ่มแรงม้าได้มากมายหลายตัว อีกทั้งเป็นการตัดปัญหาจุกจิกกับปั้มน้ำมันเครื่องที่จะมารองรับกับความเร็วรอบสูงๆไม่ไหว และอย่างในรถ Drag ในขณะออกตัว เป็นการป้องกันปัญหาน้ำมันเครื่องที่รับแรง G ในการออกตัว แล้วไหลมากองรวมกันด้านหลังเครื่องจนน้ำมันเครื่องขาดระบบ แม้แต่ในรถ Rally หรือในรถ สนามเซอร์กิตต่างๆ Dry Sump ยังสามารถรับประกันได้ว่า จะเข้าโค้งด้วยแรง G สักเพียงใด ออกตัวจนหน้ายก เบรกจนท้ายกระดก ขึ้นเนินสูง ตกกระแทกพื้น ลอยไปในอากาศ หรือแม้แต่จะตีลังกาอีกสักกี่รอบ Dry Sump ก็ยังสามารถป้อนน้ำมันเครื่องให้หล่อเลี้ยงในระบบเครื่องยนต์ได้อย่างไม่ขาดตอนแน่นอน
เล่นแรงง่ายๆ กับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ใสขึ้นอีกสักเบอร์
การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ ความหนืดลดลงสักเบอร์เป็นวิธีสร้างความแรง และความคล่องตัวให้กับเครื่องยนต์ได้อย่างง่ายๆ แน่นอนน้ำมันเครื่องยิ่งใส ความหนืดย่อมน้อยลง ความต้านทานการไหลต่ำ ก็ยิ่งทำให้เครื่องยนต์มีแรงเสียดทานลดลง รอบเครื่องยนต์กวาดได้ไวขึ้น แต่การจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ใสขึ้น เช่นจาก เบอร์ 50 เป็นเบอร์สัก 40 หรือจะเหลือเพียงเบอร์ 30 นั้นต้องคำนึงถึง สภาพของเครื่องยนต์ว่าต้องฟิตจริงๆ การออกแบบเครื่องยนต์รองรับกับน้ำมันเครื่องความหนืดต่ำ มิฉะนั้นโอกาสชาร์ปละลายก็เป็นไปได้สูง เช่นสำหรับเครื่องที่เป็นไฮโดรลิกวาล์ว พวกนี้ต้องการน้ำมันเครื่องที่ค่อนข้างใส ราวเบอร์ 30 – 40 และสำหรับเครื่องพวกโซ่ราวลิ้นจะต้องการความหนืดที่เบอร์ 50 – 60 และสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลฟิตปั๊ง การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องจากเบอร์ 40 มาเป็นเบอร์ 30 จะทำให้เครื่องยนต์เร่งรอบเครื่องได้เร็วขึ้นอีกมาก แต่ถ้าจะพูดถึงรถแข่งระดับโลกอย่างรถ Dragter ที่วิ่งกันความเร็วเพียง 4 – 5 วินาที เบอร์น้ำมันเครื่องอาจจะลดต่ำถึงเบอร์ 0W-10 หรือ 0W-20 เรียกว่าหล่อลื่นแบบไร้แรงเสียดทาน หรือจะหันมาคบกับน้ำมันเครื่องเกรดรถแข่งหรือ Racing Oil ราคาก็ไม่แพงมาก ราวหลักพันต้นๆ ถึงหลักพันปลายๆ ต่อลิตรเท่านั้นเอง
เล่นแรงกับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
ส่วนมากรถแรงๆ หรือรถแข่ง มักจะเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด (เท่าที่จะหาได้) ซึ่งหนีไม่พ้นน้ำมันเครื่องแบบ สังเคราะห์แน่นอนน้ำมันเครื่องแบบนี้ มีคุณสมบัติที่ดีกว่าน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาตรงที่ มีอายุการใช้งานได้ยาวนานมาก คงคุณสมบัติในการหล่อลื่นไม่ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น หรือต่ำลงซักเพียงใด ฟิล์มน้ำมันยังแข็งแรงกว่า ไม่เสื่อมสภาพง่าย และแน่นอน การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบธรรมดา เป็นน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ จะทำให้รถแรงขึ้น ขับลื่นขึ้น เสียงเครื่องเงียบลง เครื่องยนต์สึกหรอช้าลง หรือที่เรียกว่าจ่ายแพงครั้งเดียว แต่ใช้งานได้อีกนาน
Oil Additives
อัพเกรดน้ำมันเครื่องเพิ่มแรงม้า ด้วยหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง
แน่นอนที่สุดกับวิธีเพิ่มแรงม้าที่พิสูจน์ได้ว่า ง่ายที่สุด ใช้จ่ายน้อยที่สุด ก็เห็นเป็นเพียงการผสมหัวเชื้อน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด กับน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาที่ใช้อยู่ หัวเชื้อน้ำมันเครื่องถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำมันเครื่อง ซึ่งส่วนมากน้ำมันเครื่องที่ขายอยู่ในท้องตลาด ก็มีการผสมหัวเชื้ออยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ปริมาณจะน้อยมาก การเพิ่มปริมาณของหัวเชื้อ หรือ Additiveให้มีปริมาณมากขึ้น เป็นการอัพเกรดน้ำมันเครื่องให้สูงกว่ามาตรฐาน และจะทำให้น้ำมันเครื่องมีคุณสมบัติในการหล่อลื่นดีมากยิ่งขึ้น ยิ่งลื่นมากขึ้น แรงเสียดทานก็น้อยลง เครื่องยนต์จึงแรงขึ้น ความร้อนลดลง ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น สึกหรอช้าลง อายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องยาวนานขึ้น และหัวเชื้อยังเหมาะสำหรับรถแข่ง หรือรถที่โมดิฟลายในระดับสูง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจไม่คาดคิด เช่นในกรณีน้ำมันเครื่องเกิดขาดระบบชั่วคราว เช่นเครื่องดูดน้ำมันเครื่องขึ้นไม่ทัน น้ำมันเครื่องรั่ว หรือปั้มน้ำมันเครื่องพัง แต่หัวเชื้อจะดีเพียงใด ขึ้นอยู่กับสูตรสำเร็จที่ผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง แต่ละยี่ห้อที่พยามยามทำออกมาขาย ซึ่งผู้ซื้อต้องเลือกให้ดีๆเท่านั้นเอง
Oil Press
เกจ์วัดแรงดันน้ำมันเครื่อง
อุปกรณ์ตัวนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อประดับให้รถดูสวยงามเท่านั้น สำหรับรถธรรมดา และรถแข่งแบบโมดิฟลายแบบเต็มพิกัด เกจ์วัดเป็นได้ตั่งแต่การบ่งบอกถึงระดับแรงดันของน้ำมันเครื่องซึ่งแสดงในรูปแบบของเข็มชี้วัดแรงดันเป็น ปอนต์ หรือ Psi การใช้งานของเกจ์วัด เริ่มตั่งแต่สตาร์ทเครื่อง ซึ่งจะสังเกตได้ว่า แรงดันน้ำมันเครื่องจะสูงมาก ซึ่งแสดงถึงความหนืดของน้ำมันเครื่องก่อนสตราท์เครื่องยนต์ค่อนข้างสูง เพราะที่อุณหภูมิต่ำน้ำมันเครื่องจะหนืดข้นขึ้น จนถึงระดับอุณหภูมิเครื่องยนต์ใช้งานปกติ แรงดันน้ำมันเครื่องจะลดกลับลงมาสู่แรงดันที่แท้จริง แต่ถ้าเครื่องยนต์มีการใช้งานหนัก เช่นขับลากรอบสูงๆอย่างต่อเนื่อง หรือเหนี่ยวกันยาวๆ แรงดันน้ำมันเครื่องอาจค่อยๆลดต่ำลง ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าน้ำมันเครื่องใกล้ถึงจุดเดือด ร้อนจนน้ำมันเครื่องเริ่มใสใกล้เป็นน้ำ หรือจะเดือดจนแทบกลายเป็นไอ น้ำมันเครื่องจะหมดประสิทธิภาพการหล่อลื่น เครื่องอาจชาร์ปละลายได้ แต่แรงดันตกลงอย่างกะทันหัน แสดงได้ว่าปั้มน้ำมันเครื่องกระจายเสียแล้ว หรือน้ำมันเครื่องรั่วไหลออกจากเครื่องจนใกล้หมด เกจ์วัดตัวนี้เป็นตัวช่วยแสดงให้เรารู้ว่าควรจะขยี้คันเร่งต่อ หรือจะผ่อนคันเร่ง หรือรีบจอด เพื่อรีบแก้ไข ก่อนที่จะได้ยกเครื่องใหม่อีกตัวนั่นเอง
Oil Temp
เกจ์วัดความร้อนน้ำมันเครื่อง
ความร้อนของน้ำมันเครื่อง มีความผกผันกับแรงดันของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องเมื่ออุณหภูมิต่ำ จะมีความหนืดสูง แต่เมื่ออุณหภูมิสูงความหนืดก็จะลดต่ำลง สำหรับเครื่องยนต์โมดิฟลาย เกจ์วัดความร้อนตัวนี้ เป็นตัวบ่งบอกถึงอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องในรูปแบบ องศาเซลเซียส (C) หรือเป็นแบบ ฟาเรนไฮต์ (F) ซึ่งต้องมีการจดบันทึกอยู่ตลอด อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องที่สูงเกินไป หมายถึงน้ำมันเครื่องจะมีความหนืดลดลง หมดสภาพในการหล่อลื่น เครื่องอาจพังในที่สุด ส่วนถ้าความร้อนน้ำมันเครื่องสูงอย่างต่อเนื่อง หมายถึงระบบการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ยังไม่เพียงพอ ต้องหาทางขยับขยายระบบระบายความร้อนให้ดีเพิ่มขึ้น เกจ์วัดตัวนี้ช่วยในการออกแบบ ระบบระบายความร้อน และแสดงให้รู้ถึงอุณหภูมิในเครื่องยนต์ที่แท้จริง
Oil Catch Tank
ถังดักไอน้ำมันเครื่อง
หลายคนยังแปลกใจว่าอุปกรณ์ตัวนี้มีหน้าที่อย่างไร ทำไมรถแต่งๆถึงนิยมติดตั้งกัน ถังดักไอมีหน้าที่ดักเอาไอของน้ำมันเครื่องที่มีความร้อนสูงจนเดือด เกิดการระเหยตัวกลายเป็นไอ คล้ายไอน้ำ ปะปนมากับแรงอัดของอากาศที่เล็ดลอดออกมาจากแหวนสูบ เครื่องยิ่งหลวมมาก แรงดัน และไอน้ำมันเครื่องยิ่งมีมาก ซึ่งปกติแล้วเครื่องยนต์ทุกตัว จะมีการระบายไอน้ำมันเครื่องออกมาทางส่วนเหนือสุดของเครื่อง เพื่อป้องกันแรงดันภายในเครื่องยนต์เกิน แล้วย้อนต่อกลับมาในคอไอดี เพื่อเผาไหม้ใหม่เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม แต่ถ้าไอน้ำมันเครื่อง มีปริมาณมากเกินไป ก็จะมีส่วนทำให้การจุดระเบิดของเครื่องยนต์ลดลง แทนที่เครื่องจะได้รับอากาศบริสุทธิ์ กับน้ำมันเชื้อเพลิงดีๆพร้อมลุกติดไฟ กลับได้ส่วนผสมของไอน้ำมันเครื่องที่จุดระเบิดติดยากยิ่งกว่า ผสมเข้าไปด้วย เครื่องจะสูญเสียกำลัง แถมอุณหภูมิของไอน้ำมันเครื่องมีสูง ทำให้อากาศที่ไหลเข้าห้องเผาไหม้มีความหนาแน่นลดลง ดังนั้นรถแต่ง หรือรถแรงๆ จะนิยมทำกรองดักไอน้ำมันเครื่องขึ้นมา เพื่อดักไอน้ำมันเครื่องให้หลงเหลือในปริมาณน้อยที่สุด
Oil Racing Filter
ไส้กรองน้ำมันเครื่องซิ่ง
ไส้กรองน้ำมันเครื่องสีสันสวยงาม แล้วมาโฆษณาอวดสรรพคุณอีกว่า กรองอนุภาคได้ดีกว่า แข็งแรงกว่า แต่ราคาก็แพงกว่ามาก แท้จริงแล้วกลับมีความจำเป็นมากกว่าที่คิด ไส้กรองซิ่งพวกนี้จะมีการออกแบบผ้ากรองได้ยอดเยี่ยมกว่า โดยสามารถกรองเอาสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับน้ำมันเครื่องได้มากกว่า ด้วยวัสดุที่ดีกว่า แถมยังทำให้น้ำมันเครื่องไหลผ่านได้รวดเร็วขึ้น เป็นผลทำให้แรงดันน้ำมันเครื่องสูงขึ้น และที่สำคัญด้วยวัสดุการประกอบภายนอกที่มีความแข็งแรง ทำให้ไส้กรองแบบนี้ สามารถรับมือกับแรงดันน้ำมันเครื่องที่สูงมากขึ้น อย่างในเครื่องยนต์ที่มีความเร็วรอบสูง หรือมีการแต่งปั้มน้ำมันเครื่องจนมีแรงดันสูงขึ้น จนไส้กรองแบบธรรมดารับมือไม่ไหว แตกกระจายแบบที่เห็นกันบ่อยๆ ไส้กรองแบบนี้จึงได้รับความนิยมสูง ตั่งแต่รถที่ต้องการให้เครื่องยนต์สะอาดขึ้น อายุของไส้กรองน้ำมันยาวนานขึ้น จนถึงรถแข่งที่ต้องการไส้กรองที่สามารถรับประกันได้ว่า ไส้กรองจะไม่เสียหายพ่นน้ำมันออกมา จนสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์
Oil Cooler
เพิ่มออยล์คูเลอร์ ระบายความร้อนให้กับน้ำมันเครื่อง
แน่นอนถ้าน้ำมันเครื่องเย็น ย่อมทำให้ความร้อนของเครื่องลดลง ดังนั้นการระบายความร้อนให้กับน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด คือการติดตั้งออยล์คูเลอร์ สังเกตได้ว่า เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จเจอร์จากโรงงานเกือบทุกตัว จะมีการติดตั้งออยล์คูเลอร์แถมมาให้ด้วย เป็นเพราะในเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ ต้องทำงานหนัก ความร้อนของเครื่องยนต์จะสูงขึ้นมาก ดังนั้นการลดความร้อนให้กับเครื่องยนต์ได้รวดเร็วที่สุด คือการลดความร้อนให้กับน้ำมันเครื่อง เพราะน้ำมันเครื่องมีหน้าที่ในการนำพาความร้อนของเครื่องในทุกส่วนของเครื่องมาระบายความร้อนให้เย็นลง ออยล์คูเลอร์มีส่วนในช่วยในการระบายความร้อนของน้ำมันเครื่อง และของเครื่องยนต์ซึ่งการทำให้ความร้อนของเครื่องยนต์เย็นลง มีส่วนในการยืดอายุของเครื่องยนต์ และอายุของน้ำมันเครื่องให้ใช้งานได้ยาวนานเพิ่มขึ้น
Oil Plumbing and Fittings
สายน้ำมันเครื่อง และข้อต่อแรงดันสูง
สายน้ำมันเครื่องแรงดันสูง หรือพวกสายถักสีสันสวยงาม สายพวกนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงาม หรืออย่างไร แต่สายแรงดันพวกนี้รถแรงๆมักนิยมหามาใส่กัน ด้วยเหตุผลที่ทนแรงดันของน้ำมันเครื่องได้สูงกว่าสายน้ำมันแบบทั่วๆไปมาก มีอายุการใช้งานได้ยาวนานกว่า และทนความร้อนได้สูงกว่า สายถักสแตนเลสพวกนี้ถูกออกแบบมาให้รับมือกับ เครื่องยนต์ที่มีการโมดิฟลายในระดับสูง เช่นเปลี่ยนปั้มน้ำมันเครื่องที่มีแรงดันสูง หรือรอบเครื่องสูงมากๆ การเดินสายแรงดันน้ำมันเครื่องในระยะทางไกล ป้องกันการเสียดสี แถมยังทนทานต่อแรงกระแทกในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย ดังนั้นเพื่อความชัวร์ รถแต่ง หรือแม้แต่รถแข่ง จะนิยมนำสายประเภทนี้มาใช้เป็นส่วนมาก โดยเฉพาะการใช้สายน้ำมันเครื่องแรงดันสูง กับหัวข้อต่อรับแรงดันอย่างดี เป็นการประกันได้ว่า โอกาสที่ท่อน้ำมันเครื่องจะแตกจะขาด หรือน้ำมันเครื่องจะรั่วออกมานั้น ควรจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย
Racing Oil Pump
ถ้าจะเล่นรอบสูงสักหมื่นรอบ ต้องปั้มน้ำมันเครื่องซิ่ง
จริงอยู่ปั้มนั้นเครื่องในรถทั่วๆไป สามารถสร้างแรงดันน้ำมันเครื่องได้สูง แต่ก็เป็นเพียงในรอบเครื่องที่ไม่สูงมากนัก ก่อนที่ปั้มน้ำมันเครื่องจะทำลายตนเอง เนื่องจากวัสดุไม่สามารถรองรับกับภาระการหมุนด้วยความเร็วรอบสูงๆ หรือไม่สามารถสร้างแรงดันน้ำมันไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆที่ต้องมีการหมุนด้วยความเร็วรอบสูงๆได้เพียงพอต่อความต้องการ ดั้งนั้นสำหรับเครื่องยนต์ที่มีการโมดิฟลายให้มีแรงม้าสูงขึ้น หรือใช้งานกับรอบเครื่องยนต์สูงมากๆ การเล่นแรงกับแรงดันน้ำมันเครื่องเห็นเป็นหนีไม่พ้นกับ ปั้มน้ำมันเครื่องซิ่งอีกสักชุด ด้วยการออกแบบ และการใช้วัสดุอย่างดี ปั้มน้ำมันเครื่องซิ่ง จากหลายยี่ห้อ จะถูกสร้างขึ้นมาให้ตรงตามการใช้งานของแต่ละรุ่นของเครื่องยนต์ ความต้องการความเร็วรอบสูงสุด หรือต้องการแรงดันน้ำมันเครื่องที่สูงมากขึ้น
Wet Sump
ขยายอ่างน้ำมันเครื่อง
ในบางครั้งเครื่องยนต์ที่มีรอบสูงมากขึ้น ปั้มน้ำมันเครื่องก็ต้องการน้ำมันเครื่องในปริมาณมากขึ้น อีกทั้งในการใช้งานที่แบบสมบุกสมบัน แซงซ้าย แซงขวา ออกตัวอย่างแรง เบรกอย่างกะทันหัน ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำมันเครื่องในอ่างน้ำมันเครื่องมีการกระเพื่อม ไหลวนไปมา ดังนั้นการเพิ่มความจุอ่างน้ำมันเครื่อง ให้มีปริมาณการรองรับน้ำมันเครื่องได้มากขึ้น อีกสัก 1 – 2 ลิตร เช่นจาก 4 ลิตร ไปเป็นซัก 6 ลิตร โดยการไม่ทำให้ระดับของน้ำมันเครื่องสูงขึ้น เห็นจะเป็นวิธีการนำแคล็งน้ำมันเครื่องเดิมออกมาตีกล่องขยายเพิ่มความจุ หรือหาแคล็งน้ำมันเครื่องซิ่ง ที่แต่สำนักต่างๆทำออกมาขายให้กับเครื่องยนต์แรงๆเกือบทุกรุ่น นั้นเห็นจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็เป็นการป้องกันได้ว่าจะโยนโค้งซักเพียงใด ออกตัวแรงแค่ไหน หรือรอบเครื่องจะสูงซักเท่าไหร่ น้ำมันเครื่องจะยังมีพอหล่อเลี้ยงในระบบไม่ขาดระยะ และแคล็งน้ำมันเครื่องซิ่งบางรุ่น ยังสามารถออกแบบมาเพื่อระบายความร้อนให้กับน้ำมันเครื่องได้อีกด้วย
Dry Sump
แรงสุดๆ ต้อง อ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง
วิธีที่เล่นแรงที่สุดกับระบบหล่อลื่น ในปัจจุบันต้องยกให้กับระบบ Dry Samp หรืออ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง ระบบนี้มีมาแต่โบราณ เป็นที่นิยมสำหรับรถสปอร์ตราคาแพง หรือพวกอย่างรถ Suprecar เกือบทุกรุ่น หรือในรถแข่ง ตั้งแต่รถ Drag Racing , Nascar , Rally หรือแม้แต่ F1 ต่างก็ใช้ระบบนี้ ด้วยการหลีกพ้นข้อจำกัดในระบบหล่อลื่นแบบธรรมดาทั้งหมด Dry Sum จะไม่มีอ่างน้ำมันเครื่อง หรือฝักบัวดูดน้ำมันเครื่อง แต่อาศัยหม้อพักน้ำมันเครื่องที่แยกอิสระออกจากตัวเครื่องยนต์ ส่งน้ำมันเครื่องมายัง Oil Pump ที่ทำงานด้วยไฟฟ้า หรือใช้สายพานจากมูเลย์เครื่องยนต์มาปั่นแม่ปั้ม คล้ายกับการทำงานของปั้มน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ หรือใช้เป็นระบบฟันเฟืองเชื่อมต่อการทำงานกับเครื่องยนต์ ปั้มน้ำมันเครื่องแรงดันสูงเข้าสู่เครื่องยนต์โดยตรง แล้วดูดน้ำมันเครื่องที่ไหลกลับมายังหม้อพักน้ำมันเครื่องอีกครั้ง Dry Sump มีข้อดีตรงที่เครื่องยนต์จะไม่มีอ่างน้ำมันเครื่องห้อยต่ำลงมา ใต้ท้องเครื่องยนต์เรียบสนิท จึงสามารถวางเครื่องยนต์ให้ต่ำลง เพื่อให้เกิดจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ รถยนต์ถึงจะเกาะถนนมากขึ้น และยังช่วยลดขีดจำกัดในการโมดิฟลายเครื่องยนต์ ที่อาศัยข้อเหวี่ยงเป็นตัววิดน้ำมันเครื่องในก้นแคล็ง ซึ่งแน่นอนการตัดภาระในจุดนี้เป็นการเพิ่มแรงม้าได้มากมายหลายตัว อีกทั้งเป็นการตัดปัญหาจุกจิกกับปั้มน้ำมันเครื่องที่จะมารองรับกับความเร็วรอบสูงๆไม่ไหว และอย่างในรถ Drag ในขณะออกตัว เป็นการป้องกันปัญหาน้ำมันเครื่องที่รับแรง G ในการออกตัว แล้วไหลมากองรวมกันด้านหลังเครื่องจนน้ำมันเครื่องขาดระบบ แม้แต่ในรถ Rally หรือในรถ สนามเซอร์กิตต่างๆ Dry Sump ยังสามารถรับประกันได้ว่า จะเข้าโค้งด้วยแรง G สักเพียงใด ออกตัวจนหน้ายก เบรกจนท้ายกระดก ขึ้นเนินสูง ตกกระแทกพื้น ลอยไปในอากาศ หรือแม้แต่จะตีลังกาอีกสักกี่รอบ Dry Sump ก็ยังสามารถป้อนน้ำมันเครื่องให้หล่อเลี้ยงในระบบเครื่องยนต์ได้อย่างไม่ขาดตอนแน่นอน
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Ground wire คืออะไร
:: กราวน์ไวร์ Ground Wire เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมกันมากในรถแข่ง แต่ที่เราไม่ค่อยจะได้เห็นเพราะส่วนใหญ่เขาจะไม่ใช้สีสันใช้เป็นสายสีดำจนเรามองผ่านๆ เป็นส่วนช่วยให้ไฟฟ้ากระแสลบเดินครบวงจรมากขึ้นกว่าการใช้ตัวถังรถเป็นส่วนนำไฟฟ้าแบบโรงงาน
:: แล้วมันช่วยอะไรได้บ้าง
จากการสัมภาษณ์ผู้ที่ติดตั้งร้อยละเก้าสิบให้ความคิดเห็นว่า อัตราเร่งดีขึ้น เครื่องยนต์เดินเรียบขึ้น
มีแนวโน้มประหยัดน้ำมันมากขึ้นแต่ไม่กินมากไปกว่าเดิมแน่ ( ยกเว้นแต่จะกระทืบคันเร่งมากกว่าเดิม )
สตารท์ง่ายขึ้น เสียงดังของอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ปั้มติ๊ก พัดลมแอร์ เสียงกวนวิทยุลดลง และอีกมากมายมีแต่จะดีขึ้น
มิน่าล่ะนักแต่งรถอเมริกาและญี่ปุ่นถึงนิยมกันนัก อย่างนี้ต้องรีบหามาติดตั้งบ้าง แต่พอไปเจอราคา
แล้วแทบจะเปลี่ยนใจ เพราะราคามีตั้งแต่ 1,500 จนถึง 8,000 บาท ยิ่งเป็นของสำนักแต่งแรงๆกลับยิ่งแพงมาก
หน้าตาก็เหมือนๆกันเก็บสตางค์ไว้เติมน้ำมันดีกว่า แต่จริงๆแล้วเราสามารถทำเองได้ด้วยงบประมาณ
ไม่กี่ร้อยบาทอย่างนี้ค่อยน่าลงทุนลงแรงทำกันหน่อย
:: รู้จักประโยชน์ และ จุดที่จะติดตั้ง
ก่อนที่เราจะติดตั้งคุณต้องรู้ก่อนว่าจะติดตั้งที่ไหนเพราะอะไรจึงจะมีประโยชน์สูงสุด และ สิ้นงบประมาณ น้อยที่สุด
1. แบตเตอร์รี่ ที่ขั้วลบเป็นหัวใจหลักของงานเป็นตัวที่เราจะดึงกระแสไฟฟ้า ไปใช้ในส่วนต่างๆ ของ เครื่องยนต์ และ
ในรถนต์
2. ขั้วดินของไดชารจ์ ไดชารจ์เป็นตัวสร้างกระแสไฟไปเก็บสะสมไว้ที่แบตเตอร์รี่ ถ้าไฟชารจ์เข้า แบตเตอร์ร ี่ได้ไวขึ้น
ไดชารจ์จะตัดการทำงานเป็นการลดภาระของเครื่องยนต์ มีส่วนให้ประหยัดน้ำมัน ได้มากขึ้น
3. ขั้วกราวน์ของกล่องคอมพิวเตอร์ เป็นศูนย์รวมของกระแสลบที่จะต่อเข้าเซนเซอร์ต่างๆ เช่น กล่องควบคุมเครื่องยนต์
, หัวฉีด , คอยล์ , จานจ่าย ,ปั้มน้ำมัน,เซนเซอร์เครื่องยนต์ ฯลฯ ส่วนใหญ่ ่ทุกเครื่องยนต์จะมีสายรวมกราว์นที่ออกมา
จากกล่องคอมพิวเตอร์ เป็นชุดสายไฟยึดลงกราวน์รวมไว้ที่เครื่องโดยอาศัยโลหะตัวเครื่องเป็นตัวส่งกระแสไฟ
แต่ตัวเครื่องยนต์นั้นประกอบด้วยโลหะหลายชนิด รวมกันทำให้เกิดความต้านทาน ดังนั้นการต่อไฟตรงจะทำให้กล่อง
และเซนเซอร์ต่างๆ ควบคุมทำงาน ได้เต็มที่ เครื่องยนต์เดินราบเรียบขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น
4. สายกราวน์รวมของตัวถังรถยนต์ สังเกตว่าโรงงานจะอาศัยตัวถังรถยนต์ที่เป็นเหล็กเป็นส่วนนำไฟฟ้า แต่เนื่องจาก
เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ จะมีความต้านทานมากสูญเสียพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นจึงควรมองหา สายดินรวมของตัวถังรถยนต์
ส่วนใหญ่แล้วมักต้องไล่ดูจากชุดสายไฟ จะทำให้ระบบไฟต่างๆ ในรถยนต์ ทำงานดีขึ้น เช่นไฟหน้าสว่างขึ้น
พัดลมไฟฟ้าทำงานแรงขึ้น และอีกมาก
5. สายดินของเครื่องยนต์ แถวๆไดสตาร์ทจะทำให้รถสตาร์ทติดได้ง่ายขึ้น
6. อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องเสียง เพาเวอร์แอมป์ ที่เพิ่มเข้าไปจะทำให้ทุกอย่าง ทำงานได้
้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
:: การเตรียมอุปกรณ์
1. สายไฟขนาด 6 mm หรือ 8 mm เลือกได้
ทุกสีตามใจชอบ หาซื้อได้ที่บ้านหม้อ หรือ
ร้านเครื่องเสียงทั่วไป ราคาเมตรละ 40 – 80 บาท
2. แผ่นทองแดง , ทองเหลือง , หรืออลูมิเนียม , เหล็ก
หนาซัก 1.5 – 2 หุน หาได้ตาม ร้านขายของเก่า
หรือร้านฮาดท์แวร์ ขายเป็น กิโลกรัม
ราคาแล้วแต่วัสดุที่เลือกใช้ เพื่อนำกระแสไฟฟ้า
( ดูจากค่านำกระแสไฟ ดีที่สุดคือ ทองคำขาว > ทองคำ >
เงิน > ทองแดง > ทองเหลือง > สแตนเลส > เหล็ก >
อลูมิเนียม ) ถ้าเป็นทองเหลืองของใหม่ ก.ก. ละ
200 – 250 บาท (ใช้ไม่เกิน 2 ขีดต่อตัวหละครับ)
3. หัวหางปลาที่จะเชื่อมกับสายไฟ ใช้หัวแบนกลม ประมาณ 10- 12 ตัว ราคาตัวละ 3 – 5 บาท
4. น็อตสแตนเลสหกเหลี่ยมยึด ใช้เป็นเบอร์ 10 ยาว 1/2 นิ้ว 6 ตัว ราคาตัวละ 5 -10 บาท / ตัว
5. อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตะกั่วบัคกรี ท่อหด เทปพันสายไฟ สายรัด
:: ขั้นตอนการทำ
1. หากระดาษแข็งมาวาดรูปแล้วตัดกระดาษแบบให้ได้รูปตามที่เราต้องการ
2. นำแบบทาบกับวัสดุ เช่นทองเหลือง หรืออลูมิเนียม ที่จะใช้เป็นเพลทยึดสายไฟให้ได้ตามแบบ แล้วตัดแผ่น
ทองเหลือง หรือ วัสดุให้ได้ตามแบบ แล้วทำการตกแต่งชิ้นงาน
3. เจาะรูวัสดุที่แผ่นเพลต ตราฟเกลียว เพื่อใช้ยึดน๊อตหกเหลี่ยม
4. วัดสายไฟในจุดที่ต้องการแต่ละจุด ตัดสายไฟออกเป็นเส้นๆ แล้วสวมหางปลา แล้วบัคกรีตะกั่ว
เพื่อความแน่นหนา
5. นำแผ่นเเพลตยึดกับจุดในตัวรถ หรือแบตเตอร์รี่ แล้วนำสายที่ใส่หางปลา แล้วมายึดติดแล้วต่อ
ไปยังจุดและอุปกรณ์ที่ต้องการ
:: ข้อเเนะนำ
ควรเช็คให้ดีว่าจุดที่จะยึดเป็นจุดกราวน์แน่นอน ถ้ามีการย้ายเเบตเตอร์รี่ไว้หลังรถ ควรต่อสาย
ไปยังเเบตเตอร์รี่เลยดีที่สุด ควรหาสายรัดและเทปพันสายไฟพันสายไฟเพื่อป้องกันไฟรัดวงจร
และห่างจากจุดหมุนพวกสายพาน สายไม่จำเป็นต้องใช้สายที่มีขนาดใหญ่มาก สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
แต่ควรจะยึดในส่วนที่สำคัญและหลายๆจุดดีกว่า หรือทำไว้หลายๆตัวแล้วเดินสายให้ได้มากจุดที่สุด
:: แล้วมันช่วยอะไรได้บ้าง
จากการสัมภาษณ์ผู้ที่ติดตั้งร้อยละเก้าสิบให้ความคิดเห็นว่า อัตราเร่งดีขึ้น เครื่องยนต์เดินเรียบขึ้น
มีแนวโน้มประหยัดน้ำมันมากขึ้นแต่ไม่กินมากไปกว่าเดิมแน่ ( ยกเว้นแต่จะกระทืบคันเร่งมากกว่าเดิม )
สตารท์ง่ายขึ้น เสียงดังของอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ปั้มติ๊ก พัดลมแอร์ เสียงกวนวิทยุลดลง และอีกมากมายมีแต่จะดีขึ้น
มิน่าล่ะนักแต่งรถอเมริกาและญี่ปุ่นถึงนิยมกันนัก อย่างนี้ต้องรีบหามาติดตั้งบ้าง แต่พอไปเจอราคา
แล้วแทบจะเปลี่ยนใจ เพราะราคามีตั้งแต่ 1,500 จนถึง 8,000 บาท ยิ่งเป็นของสำนักแต่งแรงๆกลับยิ่งแพงมาก
หน้าตาก็เหมือนๆกันเก็บสตางค์ไว้เติมน้ำมันดีกว่า แต่จริงๆแล้วเราสามารถทำเองได้ด้วยงบประมาณ
ไม่กี่ร้อยบาทอย่างนี้ค่อยน่าลงทุนลงแรงทำกันหน่อย
:: รู้จักประโยชน์ และ จุดที่จะติดตั้ง
ก่อนที่เราจะติดตั้งคุณต้องรู้ก่อนว่าจะติดตั้งที่ไหนเพราะอะไรจึงจะมีประโยชน์สูงสุด และ สิ้นงบประมาณ น้อยที่สุด
1. แบตเตอร์รี่ ที่ขั้วลบเป็นหัวใจหลักของงานเป็นตัวที่เราจะดึงกระแสไฟฟ้า ไปใช้ในส่วนต่างๆ ของ เครื่องยนต์ และ
ในรถนต์
2. ขั้วดินของไดชารจ์ ไดชารจ์เป็นตัวสร้างกระแสไฟไปเก็บสะสมไว้ที่แบตเตอร์รี่ ถ้าไฟชารจ์เข้า แบตเตอร์ร ี่ได้ไวขึ้น
ไดชารจ์จะตัดการทำงานเป็นการลดภาระของเครื่องยนต์ มีส่วนให้ประหยัดน้ำมัน ได้มากขึ้น
3. ขั้วกราวน์ของกล่องคอมพิวเตอร์ เป็นศูนย์รวมของกระแสลบที่จะต่อเข้าเซนเซอร์ต่างๆ เช่น กล่องควบคุมเครื่องยนต์
, หัวฉีด , คอยล์ , จานจ่าย ,ปั้มน้ำมัน,เซนเซอร์เครื่องยนต์ ฯลฯ ส่วนใหญ่ ่ทุกเครื่องยนต์จะมีสายรวมกราว์นที่ออกมา
จากกล่องคอมพิวเตอร์ เป็นชุดสายไฟยึดลงกราวน์รวมไว้ที่เครื่องโดยอาศัยโลหะตัวเครื่องเป็นตัวส่งกระแสไฟ
แต่ตัวเครื่องยนต์นั้นประกอบด้วยโลหะหลายชนิด รวมกันทำให้เกิดความต้านทาน ดังนั้นการต่อไฟตรงจะทำให้กล่อง
และเซนเซอร์ต่างๆ ควบคุมทำงาน ได้เต็มที่ เครื่องยนต์เดินราบเรียบขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น
4. สายกราวน์รวมของตัวถังรถยนต์ สังเกตว่าโรงงานจะอาศัยตัวถังรถยนต์ที่เป็นเหล็กเป็นส่วนนำไฟฟ้า แต่เนื่องจาก
เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ จะมีความต้านทานมากสูญเสียพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นจึงควรมองหา สายดินรวมของตัวถังรถยนต์
ส่วนใหญ่แล้วมักต้องไล่ดูจากชุดสายไฟ จะทำให้ระบบไฟต่างๆ ในรถยนต์ ทำงานดีขึ้น เช่นไฟหน้าสว่างขึ้น
พัดลมไฟฟ้าทำงานแรงขึ้น และอีกมาก
5. สายดินของเครื่องยนต์ แถวๆไดสตาร์ทจะทำให้รถสตาร์ทติดได้ง่ายขึ้น
6. อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องเสียง เพาเวอร์แอมป์ ที่เพิ่มเข้าไปจะทำให้ทุกอย่าง ทำงานได้
้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
:: การเตรียมอุปกรณ์
1. สายไฟขนาด 6 mm หรือ 8 mm เลือกได้
ทุกสีตามใจชอบ หาซื้อได้ที่บ้านหม้อ หรือ
ร้านเครื่องเสียงทั่วไป ราคาเมตรละ 40 – 80 บาท
2. แผ่นทองแดง , ทองเหลือง , หรืออลูมิเนียม , เหล็ก
หนาซัก 1.5 – 2 หุน หาได้ตาม ร้านขายของเก่า
หรือร้านฮาดท์แวร์ ขายเป็น กิโลกรัม
ราคาแล้วแต่วัสดุที่เลือกใช้ เพื่อนำกระแสไฟฟ้า
( ดูจากค่านำกระแสไฟ ดีที่สุดคือ ทองคำขาว > ทองคำ >
เงิน > ทองแดง > ทองเหลือง > สแตนเลส > เหล็ก >
อลูมิเนียม ) ถ้าเป็นทองเหลืองของใหม่ ก.ก. ละ
200 – 250 บาท (ใช้ไม่เกิน 2 ขีดต่อตัวหละครับ)
3. หัวหางปลาที่จะเชื่อมกับสายไฟ ใช้หัวแบนกลม ประมาณ 10- 12 ตัว ราคาตัวละ 3 – 5 บาท
4. น็อตสแตนเลสหกเหลี่ยมยึด ใช้เป็นเบอร์ 10 ยาว 1/2 นิ้ว 6 ตัว ราคาตัวละ 5 -10 บาท / ตัว
5. อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตะกั่วบัคกรี ท่อหด เทปพันสายไฟ สายรัด
:: ขั้นตอนการทำ
1. หากระดาษแข็งมาวาดรูปแล้วตัดกระดาษแบบให้ได้รูปตามที่เราต้องการ
2. นำแบบทาบกับวัสดุ เช่นทองเหลือง หรืออลูมิเนียม ที่จะใช้เป็นเพลทยึดสายไฟให้ได้ตามแบบ แล้วตัดแผ่น
ทองเหลือง หรือ วัสดุให้ได้ตามแบบ แล้วทำการตกแต่งชิ้นงาน
3. เจาะรูวัสดุที่แผ่นเพลต ตราฟเกลียว เพื่อใช้ยึดน๊อตหกเหลี่ยม
4. วัดสายไฟในจุดที่ต้องการแต่ละจุด ตัดสายไฟออกเป็นเส้นๆ แล้วสวมหางปลา แล้วบัคกรีตะกั่ว
เพื่อความแน่นหนา
5. นำแผ่นเเพลตยึดกับจุดในตัวรถ หรือแบตเตอร์รี่ แล้วนำสายที่ใส่หางปลา แล้วมายึดติดแล้วต่อ
ไปยังจุดและอุปกรณ์ที่ต้องการ
:: ข้อเเนะนำ
ควรเช็คให้ดีว่าจุดที่จะยึดเป็นจุดกราวน์แน่นอน ถ้ามีการย้ายเเบตเตอร์รี่ไว้หลังรถ ควรต่อสาย
ไปยังเเบตเตอร์รี่เลยดีที่สุด ควรหาสายรัดและเทปพันสายไฟพันสายไฟเพื่อป้องกันไฟรัดวงจร
และห่างจากจุดหมุนพวกสายพาน สายไม่จำเป็นต้องใช้สายที่มีขนาดใหญ่มาก สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
แต่ควรจะยึดในส่วนที่สำคัญและหลายๆจุดดีกว่า หรือทำไว้หลายๆตัวแล้วเดินสายให้ได้มากจุดที่สุด
ความหมายของ temp vaule
เทอร์โมสตัทหรือวาวล์น้ำเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ในรถที่ระบายความร้อนด้วยน้ำซึ่งเจ้าตัวนี้จะทำหน้าที่เปิดปิดช่องทางน้ำให้ไหลเข้าเครื่องยนต์โดยเมื่อเครื่องยนต์อุนหภูมิต่ำๆ
วาวล์น้ำตัวนี้ก็จะปิดทำให้น้ำจากในหม้อน้ำไม่สามารถไหลเข้าไปในเครื่องได้หลังจากนั้นพอเครื่องอุนหภูมิสูงขึ้นราวๆ90องศาเซลเซียสวาวล์น้ำก็จะเปิดให้น้ำในหม้อไหลเข้าไปในเครื่องเพื่อทำการระบายคงามร้อนได้คับ สำหรับรถในเมืองหนาวเทอร์โมสตัทอาจจะเปิดที่อุนหภูมิ86ถึง90.6องศาเซลเซียสเปิดเต็มที่ที่อุนหถูมิ98-100คับ
ข้อดีของเทอร์โมสตัทคือ
1.ทำให้เครื่องอุ่นเร็วขึ้นคับ
2.ทำให้น้ำในหม้อน้ำได้พักตัวทำให้อุนหภูมิน้ำเย็นลงคับ
3.ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์(เพราะถ้าไม่มีวาวล์น้ำน้ำจะเข้าไปไหลเวียนในเครื่องตลอดตั้งแต่เริ่มสตารท์ทำให้เครื่องถึงจุดทำงานช้าลงทำให้เกิดการสึกหรอมากขึ้นคับ )
สำหรับใครที่เจอปัญหาความร้อนขึ้นบ่อยๆอย่าไปโทษเจ้าตัววาวล์น้ำนะคับเพราะถ้าถอดมันออกน้ำในเครื่องจะหมุนเวียนตอลดก็จิงแต่มันไม่ได้พักในหม้อน้ำเลยทำให้อุนหะภูมิน้ำหล่อเย็นสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้เกิดผลดีเลย ทางแก้คือควรเพิ่มพัดลมหม้อน้ำ ตรวจเช็คพวกท่อยางน้ำ หรือเติมน้ำในหม้อน้ำบ่อยเป็นต้นคับ แต่จะบอกว่าถ้าเครื่องยนต์ฮีทบ่อยๆจะไม่ตรวจวาวล์น้ำเลยก็ไม่ได้ควรตรวจเช็คว่าวาวล์น้ำยังทำงานดีหรือไม่เพราะถ้าเกิดทุกอย่างปกติแต่วาวล์น้ำเสียก็ฮีทได้คับ
วิธีการตรวจวาวล์น้ำ
1.จุ่มวาวล์น้ำในน้ำเดือดอุนหะภูมิประมาณ100องศาเซลเซียสคับ
2.ตรวสสอบการเปิดปิดของลิ้นในวาวล์น้ำด้วยเทอร์โมมิเตอร์
3.ถ้าเปิดไม่ตรงตามที่กำหนดก็เปลี่ยนซะนะคับ
วาวล์น้ำตัวนี้ก็จะปิดทำให้น้ำจากในหม้อน้ำไม่สามารถไหลเข้าไปในเครื่องได้หลังจากนั้นพอเครื่องอุนหภูมิสูงขึ้นราวๆ90องศาเซลเซียสวาวล์น้ำก็จะเปิดให้น้ำในหม้อไหลเข้าไปในเครื่องเพื่อทำการระบายคงามร้อนได้คับ สำหรับรถในเมืองหนาวเทอร์โมสตัทอาจจะเปิดที่อุนหภูมิ86ถึง90.6องศาเซลเซียสเปิดเต็มที่ที่อุนหถูมิ98-100คับ
ข้อดีของเทอร์โมสตัทคือ
1.ทำให้เครื่องอุ่นเร็วขึ้นคับ
2.ทำให้น้ำในหม้อน้ำได้พักตัวทำให้อุนหภูมิน้ำเย็นลงคับ
3.ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์(เพราะถ้าไม่มีวาวล์น้ำน้ำจะเข้าไปไหลเวียนในเครื่องตลอดตั้งแต่เริ่มสตารท์ทำให้เครื่องถึงจุดทำงานช้าลงทำให้เกิดการสึกหรอมากขึ้นคับ )
สำหรับใครที่เจอปัญหาความร้อนขึ้นบ่อยๆอย่าไปโทษเจ้าตัววาวล์น้ำนะคับเพราะถ้าถอดมันออกน้ำในเครื่องจะหมุนเวียนตอลดก็จิงแต่มันไม่ได้พักในหม้อน้ำเลยทำให้อุนหะภูมิน้ำหล่อเย็นสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้เกิดผลดีเลย ทางแก้คือควรเพิ่มพัดลมหม้อน้ำ ตรวจเช็คพวกท่อยางน้ำ หรือเติมน้ำในหม้อน้ำบ่อยเป็นต้นคับ แต่จะบอกว่าถ้าเครื่องยนต์ฮีทบ่อยๆจะไม่ตรวจวาวล์น้ำเลยก็ไม่ได้ควรตรวจเช็คว่าวาวล์น้ำยังทำงานดีหรือไม่เพราะถ้าเกิดทุกอย่างปกติแต่วาวล์น้ำเสียก็ฮีทได้คับ
วิธีการตรวจวาวล์น้ำ
1.จุ่มวาวล์น้ำในน้ำเดือดอุนหะภูมิประมาณ100องศาเซลเซียสคับ
2.ตรวสสอบการเปิดปิดของลิ้นในวาวล์น้ำด้วยเทอร์โมมิเตอร์
3.ถ้าเปิดไม่ตรงตามที่กำหนดก็เปลี่ยนซะนะคับ
เรื่องพื้นๆ ที่เราควรจะรู้
Question: รถเป็นรอยขนแมวมีวิธีแก้ไขอย่างไร
Answer: รถเป็นรอยขนแมว สาเหตุเนื่องมาจากากรใช้ผ้าที่แข็งหรือหยาบเกินไปหรือเกิดจากการที่ไม่ใช้น้ำล้างสิ่งสกปรกออกก่อนที่จะใช้ผ้าทำความสะอาด วิธีการแก้ไขคือ ควรนำรถเข้ารับการขัดสีผิวที่ศูนย์บริการของฮอนด้า และวิธีที่จะถนอมสีรถให้คงสภาพเดิมได้นั้นควรจะขัด้ด้วยแวกซ์อ่อนที่มีสารซิลิโคนผสมเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
การดูแลรักษารถยนต์ตลอดเวลามิใช่เพียงเพื่อความใหม่และสวยงามเท่านั้น แต่จะเป็นการช่วยรักษาผิวโลหะมิให้ถูกความชื้น กรด ด่าง ที่จะทำให้รถเป็นสนิมและผุ ดังนั้นการบำรุงรักษาสีรถจึงเป็นสิ่งจำเป็นและจะต้องกระทำอย่างถูกวิธีด้วย ซึ่งมีวิธีการดังนี้
1. ใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นที่เกาะออกให้หมดก่อนหรือหากรถลุยฝนมาให้ใช้น้ำฉีดโคลนดินออกก่อน โดยเฉพาะตามซอกมุมต่างๆ
2. ใช้น้ำสะอาดผสมแชมพูล้างรถหรือน้ำสบู่ชำระล้างโดยใช้ผ้านิ่มๆ เช่น ผ้าสำลี ผ้าฝ้าย ชุบน้ำเช็ดล้าง จากส่วนบนสุดแล้วไล่ลงมาส่วนล่าง และจะต้องใช้ผ้าแยกกัน สิ่งสำคัญหากใช้ผ้าชำระคราบโคลนควรซักผ้านั้นให้บ่อยครั้ง
ล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 1 หรือ 2 ครั้ง แล้วจึงใช้ผ้าที่แห้งเช็ดน้ำและความเปียกชื้นออกให้หมด
Question: ในห้องเครื่องยนต์มักจะมีคราบน้ำมันสกปรกอยู่ตามชิ้นส่วนต่างๆจะทำความสะอาดได้อย่างไร?
Answer: คราบดำที่ติดอยู่ตามเครื่องยนต์ส่วนใหญ่มักเกิดจากฝุ่นละอองหรือเขม่าไอเสียผสมกับไอน้ำมัน คราบเหล่านี้ เมื่อทิ้งไว้นานๆจะจับแน่นทำความสะอาดได้ยาก วิธีทำความสะอาด นอกจากจะใช้น้ำยาที่ผลิตขึ้นมาเป็นการเฉพาะแล้ว น้ำมันก๊าดก็สามารถใช้ได้ดี ขั้นแรก ล้างห้องเครื่องยนต์ด้วยน้ำผสมแชมพูล้างรถก่อนหลังจากนั้นจึงใช้แปรงจุ่มน้ำมันก๊าดทาลงตรงพื้นที่ที่สกปรกมากๆให้ทั่ว พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้น้ำมันก๊าดถูกชิ้นส่วนที่เป็นยางมากเกินไป หลังจากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้าล้างด้วยเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงก็สามารถนำท่อดูดน้ำยาทำความสะอาดจุ่มลงในภาชนะบรรจุน้ำมันก๊าดเพื่อผสมน้ำมันก๊าดลงในน้ำที่ใช้ฉีดล้างทำความสะอาดได้เลย
Question: รถยนต์ควรล้างหัวฉีดเมื่อไรและมีความจำเป็นแค่ไหน?
Answer: การล้างหัวฉีดในเครื่องยนต์น้ำมันเบาที่มีคุณสมบัติเป็นสารละลายด้วยอย่างน้ำมันเบนซินคงไม่ใช่เรื่องจำเป็นนัก เพราะหัวฉีดของเครื่องยนต์เบนซินไม่ได้ยื่นลงไปในห้องเผาไหม้โดยตรงอย่างเครื่องยนต์ดีเซล แต่จะอยู่หลังลิ้นไอดีหรือในรถบางรุ่นอาจจะอยู่ถอยหลังลงไปในท่อร่วมไอดีเลย ประกอบกับหัวฉีดเป็นชนิดที่เข็มหัวฉีดถูกยกขึ้นด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้าโอกาสอุดตันจึงเกือบไม่มีเลย
Question: ถ้าเติมน้ำมันเครื่องเกินกว่าจุด MAX จะมีผลต่อเครื่องยนต์อย่างไร?
Answer: ในระบบหล่อลื่นเครื่องยนต์นั้นจะมีปั๊มน้ำมันเครื่องติดตั้งอยู่บริเวณอ่างน้ำมันเครื่อง ปั๊มนี้จะฉีกน้ำมันเครื่องให้ไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้คล่องตัว และยังช่วยลดความร้อนได้อีกด้วยสำหรับการเติมน้ำมันเครื่อง ถ้าเติมน้อยเกินไปจะทำให้ปั๊มไม่สามารถดูดน้ำมันเครื่องได้เต็มที่ ปริมาณน้ำมันเครื่องที่เข้าไปหล่อล่นจึงไม่เพียงพอส่งผลให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ถ้าหากเติมมากเกินไป ปริมาณของน้ำมันเครื่องจะล้นเกินอ่าง น้ำมันเครื่องทำให้ชิ้นส่วนเพลาข้อเหวี่ยงแช่อยู่ในน้ำมันเครื่อง ความหนืดก็จะมีมากขึ้น กำลังของเครื่องยนต์ก็จะออกมาไม่เต็มที่ เพราะจะมีแรงต้านจากน้ำมันเครื่องดังนั้นจึงควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ โดยการตรวจเช็คจากเหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องหลังจากดับเครื่องยนต์ประมาณ 3-5 นาที ระดับที่ถูกต้องจะอยู่ที่จุดบนเหล็กวัด และในการวัดควรจอดรถในพื้นที่ราบ
Question: การตรวจสภาพเครื่องยนต์ก่อนออกเดินทางไกล ควรจะปฏิบัติอย่างไร?
Answer: สำหรับท่านที่ออกเดินทางต่างจังหวัดไกลๆ ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้นก่อนออกเดินทางไกล จึงควรเตรียมความพร้อมของเครื่องยนต์เพื่อที่จะสามารถพาผู้ขับขี่และผู้โดยสารให้ไปถึงจุดมุ่งหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย สิ่งที่ผู้ขับขี่ควรทำการตรวจสภาพก่อนออกเดินทางไกล
ระดับน้ำมันเครื่อง ให้ตรวจวัดหลังจากดับเครื่องยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลา 2 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลลงด้านล่างของเครื่องยนต์ก่อน ดึงก้านวัดน้ำมันออกมาแล้วใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำมันออกให้หมดแล้วเสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องกลับเข้าที่จนสุด ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องบนปลายก้านวัด ระดับน้ำมันควรอยู่ระหว่างขีดล่างและขีดบน ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ที่ขีดล่างหรือต่ำกว่าให้เติมน้ำมันเครื่องชนิดและระดับความหนืดที่ระบุอยู่ในคู่มือผู้ใช้รถจนถึงระดับที่ขีดบน
ระดับน้ำระบายความร้อน ดูที่ถังสำรองขณะที่อุณหภูมิของเครื่องยนต์เท่ากับอุณหภูมิของอากาศปกติ ระดับน้ำระบายความร้อนในถังสำรองควรอยู่ระหว่างขีดล่างและขีดบน น้ำระบายความร้อนที่กล่าวถึงเป็นส่วนผสมระหว่างน้ำยารักษาหม้อน้ำ และน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ข้อสำคัญคืออย่าเติมน้ำยารักษาหม้อน้ำหรือน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว
อุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร ควรตรวจยางขอบประตู และยางฝากระโปรงท้ายว่าอยู่ในสภาพดี และอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะการที่ยางอยู่ในสภาพดีจะมีส่วนช่วยทำให้ไม่เกิดเสียงรบกวนขณะขับขี่ นอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้ฝุ่น และน้ำเข้ามาทำความเสียหายแก่ห้องสัมภาระอีกด้วย
ระดับน้ำมันเกียร์ (เกียร์อัตโนมัติ) ควรจอดรถในพื้นที่ที่ได้ระดับ เลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P จากนั้นดึงก้านวัดออกเช็ดทำความสะอาดก่อนเสียบเข้าตำแหน่งเดิม แล้วดึงเหล็กวัดออกมาใหม่ ระดับน้ำมันเกียร์ควรอยู่ระหว่างระดับสูงสุดและระดับต่ำสุด ควรใช้น้ำมันเกียร์ชนิดเดียวกับที่ระบุอยู่ในคู่มือผู้ใช้รถ
แบตเตอรี่ ตรวจดูขั้วสายไฟว่าสะอาด และแน่นดีหรือไม่ ตลอดทั้งตรวจระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับบนสุด
ยาง ตรวจแรงดันลมภายในยาง การเติมลมยางสำหรับรถเดินทางไกลนั้น ควรเติมให้มากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว ส่วนดอกยางนั้นควรมีความลึกไม่น้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร
สัญญาไฟเตือน ตรวจเช็คดูว่าสว่างและดับตามปกติหรือไม่ ตลอดทั้งทดลองเปิดไฟดูทีละระบบ เช่นไฟหน้า ไฟหรี่ ไฟต่ำ ไฟสูง ฯลฯ
Question: การใส่หลอดไฟหน้าด้วยวัตต์ที่สูงกว่ามาตรฐานมีผลอย่างไรต่อรถยนต์?
Answer: วัตต์ของหลอดไฟ หมายถึงกำลังส่องสว่างของหลอดไฟที่แสดงในรูปของปริมาณกำลังไฟ หลอดไฟที่มีวัตต์สูงย่อมต้องการกระแสไฟมากขึ้น การใส่หลอดไฟหน้าด้วยหลอดไฟที่มีวัตต์สูงกว่าที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานของรถรุ่นนั้นๆ ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ ทั้งแบตเตอรี่และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในรถต้องจ่ายกระแสออกมากขึ้น ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่จะจ่ายให้แบตเตอรี่ก็จะน้อยลงเป็นเหตุให้กำลังไฟของแบตเตอรี่ไม่อยู่ในสถานะไฟเต็ม นานๆ ไปกำลังไฟสำรองสำหรับใช้ในการสตาร์ทก็จะไม่พอ ทำให้ไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ นอกจากนั้น แบตเตอรี่ที่มีสภาพไฟไม่เต็มนานๆ ก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนเครื่องกำเนิดไฟที่ต้องจ่ายกระแสไฟออกเป็นปริมาณมากๆอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้เกิดการสึกหรอเร็ว อายุการใช้งานก็จะสั้นลง สรุปว่ามีผลเสียไม่คุ้มกับกำลังส่องสว่างที่ได้มา ถ้าจะเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ ควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีความจุเหมาะสมด้วย
Question: น้ำยาแอร์ในรถ โดยเฉลี่ยกี่ปีจึงต้องเปลี่ยนหรือเติมใหม่?
Answer: ระบบปรับอากาศในรถยนต์ก็เหมือนระบบทำความเย็นทั่วไป คือเป็นระบบปิดน้ำยาแอร์หรือสารทำความเย็นที่อยู่ในระบบจะหมุนเวียนเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นก๊าซแล้วกลับมาเป็นของเหลวอยู่ภายใน ถ้าไม่มีการรั่วไหลของชิ้นส่วนต่างๆ สารหล่อเย็นจะคงอยู่ในระบบตลอดไป สังเกตได้จากตู้เย็นบางตู้สามารถใช้งานได้เป็นสิบปีโดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนหรือเติมสารทำความเย็น
น้ำยาแอร์ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือเติมใหม่ ถ้าระบบไม่มีการรั่วซึม การรั่วซึมอาจเกิดขึ้นได้สองกรณี คือ เกิดจากการผุกร่อนของชิ้นส่วนที่เป็นโลหะอันเนื่องมาจากการสะสมของความชื้น หยดน้ำหรือเกิดจากการชำรุดหรือเสื่อมสภาพของข้อต่อและท่อทางต่างๆ ในระบบ เนื่องจากรถมีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวอยู่เป็นจำนวนมาก อุปกรณ์ในระบบปรับอากาศจึงต้องออกแบบและได้รับการดูแลเป็นพิเศษต่างไปจากตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศที่อยู่ตามบ้านการจัดการกับความชื้นที่สะสมอยู่ในชิ้นส่วนของระบบอุปกรณ์ที่สัมผัสและอ่อนไหวกับความชื้นที่สุดในระบบปรับอากาศรถยนต์ คือ อีวาโพเรเตอร์ หรือ ตู้คอยล์เย็นหรือตู้แอร์ เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดความเย็นของระบบไอน้ำในอากาศที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำจะเกิดขึ้นที่อุปกรณ์นี้ ดังนั้นระบบจึงถูกออกแบบให้มีการระบายหยดน้ำที่เกิดขึ้นด้วย ผู้ใช้รถควรหมั่นสังเกตการระบายหยดน้ำอยู่เสมอ วิธีง่ายๆก็คือ สังเกตว่ามีร่องรอยการไหลของน้ำทุกครั้งที่จอดรถเป็นระยะเวลาหนึ่ง ถ้าร่องรอยการไหลของน้ำหายไปหรือน้อยลงผิดปกติ แสดงว่าระบบระบายน้ำอาจจะอุดตันต้องได้รับการดูแลหรือทำความสะอาดโดยด่วน การใช้ระบบปรับอากาศอย่างถูกต้องในชีวิตประจำวันจะช่วยไล่ความชื้นออกจากตู้แอร์ได้อีกทางหนึ่ง กล่าวคือ หลัง
สตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนเปิดสวิตช์ให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน (สวิตช์ที่มีเครื่องหมาย A/C และมีไฟสีเขียวสว่างเมื่อกดเปิด)ให้เปิดสวิตช์พัดลมไปที่ความเร็วสูงสุดทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วจึงกดสวิตช์คอมเพรสเซอร์ก่อนจะลดความเร็วพัดลมลงสู่ตำแหน่งที่ต้องการเพื่อไล่ความชื้นที่อาจตกค้างอยู่ในตู้แอร์ออกให้หมด เช่นเดียวกับเมื่อจะสิ้นสุดการใช้รถประจำวันก่อนจะถึงที่จอดประมาณ 10-15 นาที ควรปิดสวิตช์คอมเพรสเซอร์แล้วเปิดพัดลมไปที่ตำแหน่งความเร็วสูงสุด จนถึงที่หมายจึงค่อยปิดพัดลมแล้วดับเครื่อง วิธีนี้จะช่วยลดการสะสมของหยดน้ำที่ครีบของขดท่อในตู้แอร์ได้การดูแลรักษาข้อต่อและท่อทางต่างๆ สำหรับข้อต่อในระบบปรับอากาศ คงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใช้รถที่จะตรวจสอบว่ามีรอยรั่วหรือไม่ เพราะอาจต้องใช้เครื่องมือพิเศษ แต่สำหรับท่อทางที่เชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ในระบบซึ่งมีทั้งที่เป็นอะลูมิเนียมและท่อยาง ผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจว่าจุดยึดต่างๆ หลุดหลวมหรือมีส่วนใดสัมผัสหรือเสียดสีกับชิ้นส่วนอื่นๆ หรือไม่ ถ้ามีก็แก้ไขหรือให้ศูนย์บริการแก้ไขเสีย เท่านี้ก็สามารถรักษาอายุการใช้งานของสารหล่อเย็นในระบบให้ยืนยาวเท่าๆกับอายุของชิ้นส่วนต่างๆได้แล้ว
Question: การลากรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ สามารถทำได้หรือไม่?
Answer: การลากรถเกียร์อัตโนมัติก็มีหลักปฏิบัติเช่นเดียวกับการลากรถเกียร์ธรรมดาคือหลีกเลี่ยงการลากโดยปล่อยให้ล้อหน้าสัมผัสและหมุนไปบนพื้นถนน โดยปกติเรามักจะใช้รถลากชนิดที่ยกล้อหน้าขึ้น หรือใช้วิธียกรถทั้งคันขึ้นบรรทุกบนรถลากซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด
การลากรถโดยใช้สายลากล้อหน้าที่เชื่อมต่ออยู่กับเฟืองในห้องเกียร์ ล้อรถที่หมุนไปจะทำให้เฟืองเกียร์หมุนไปด้วย แต่ในขณะที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานระบบน้ำมันในห้องเกียร์จะไม่มีแรงดัน น้ำมันก็จะไม่ได้ไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นอาจจะสึกหรออย่างรวดเร็วจนเกิดความเสียหายได้ วิธีลากรถแบบนี้จึงเป็นวิธีที่ผิด แม้แต่การลากรถโดยยกล้อหน้าขึ้นก็ควรทำในระยะทางสั้นๆ เท่านั้น (ไม่ควรเกิน 50 กม.)
Question: รถยนต์ที่ติดตั้งระบบเบรก ABS ถ้าดึงเบรกมือกะทันหันล้อจะล็อกหรือไม่?
Answer: ระบบเบรก ABS กับกลไกของเบรกมือนั้นแยกเป็นอิสระต่อกันอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมีจุดประสงค์ในการใช้งานต่างกัน ส่วนใหญ่เบรกมือจะใช้แรงดึงจากคันโยกส่งผ่านตามสายสลิงไปดึงกลไกเพื่อกดให้ชุดเบรกที่ล้อหลังทำงาน ส่วนระบบ ABS จะส่งแรงเบรกผ่านระบบไฮดรอลิกโดยมีปั๊มและสวิตช์จ่ายแรงดันที่ควบคุมด้วยวงจรคอมพิวเตอร์และเซนเซอร์ตรวจจับการหมุนของล้อ ถ้าล้อใดมีแนวโน้มว่าจะหมุนช้ากว่าล้ออื่นระบบจะบังคับให้ลดแรงดันไฮดรอลิกของล้อนั้นลงแล้วเพิ่มแรงดันถ้าล้อนั้นหมุนเร็วกว่าล้ออื่น แต่สำหรับเบรกมือ เนื่องจากเป็นระบบกลไก ดังนั้นทุกครั้งที่ดึงคันเบรกมือขึ้นล้อหลังทั้งคู่ก็จะหยุดหมุนหรือล็อกตายเหมือนเวลาที่เราดึงคันเบรกมือขณะจอดรถและไม่แนะนำให้ปฏิบัติในขณะที่รถวิ่งอยู่เป็นอันขาดเพราะอาจทำให้รถหมุนหรือพลิกคว่ำได้
Question: รถเสียศูนย์จะมีลักษณะอาการอย่างไร?
Answer: ศูนย์ของรถโดยนัยก็หมายถึงลักษณะทางกายภาพของตัวรถที่กระทำกับพื้นผิวทางวิ่งโดยผ่านล้อทั้งสี่ จริงๆแล้วศูนย์ของรถนั้นค่อนข้างซับซ้อน มีมุมที่กำหนดไว้ให้ล้อทั้งหน้าและหลังกระทำต่อพื้นหรือกระทำต่อกันมากมาย ทุกมุมจะต้องอยู่ในค่าที่กำหนดจึงจะทำให้การขับขี่และบังคับควบคุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ นอกเหนือจากการวัดโดยเครื่องมือพิเศษแล้ว สามารถสังเกตได้ดังนี้
ขณะรถจอดอยู่กับที่ เมื่อจอดรถบนพื้นผิวที่เป็นระนาบ พวงมาลัยตรง รถจะต้องไม่เอียงหรือยุบตัวไปข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าพิจารณาดูหน้ายางต้องไม่มีร่องรอยของการสึกที่ผิดปกติ เช่น สึกเป็นบั้ง, สึกเฉพาะด้านนอกหรือด้านใน, ดอกยางสึกเป็นรอยเฉือนมีขอบขึ้นคม เป็นต้น เพราะการสึกที่ผิดปกติหมายถึงศูนย์ล้อที่ผิดปกติด้วย
ขณะขับขี่ บนทางเรียบตรง รถต้องไม่มีอาการดึงไปทางซ้ายหรือทางขวา, สั่นสะท้าน ขณะเข้าโค้งในสภาวะปกติต้องไม่มีอาการดื้อโค้ง (Understeer) หรือไวโค้ง (Oversteer)
Answer: รถเป็นรอยขนแมว สาเหตุเนื่องมาจากากรใช้ผ้าที่แข็งหรือหยาบเกินไปหรือเกิดจากการที่ไม่ใช้น้ำล้างสิ่งสกปรกออกก่อนที่จะใช้ผ้าทำความสะอาด วิธีการแก้ไขคือ ควรนำรถเข้ารับการขัดสีผิวที่ศูนย์บริการของฮอนด้า และวิธีที่จะถนอมสีรถให้คงสภาพเดิมได้นั้นควรจะขัด้ด้วยแวกซ์อ่อนที่มีสารซิลิโคนผสมเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
การดูแลรักษารถยนต์ตลอดเวลามิใช่เพียงเพื่อความใหม่และสวยงามเท่านั้น แต่จะเป็นการช่วยรักษาผิวโลหะมิให้ถูกความชื้น กรด ด่าง ที่จะทำให้รถเป็นสนิมและผุ ดังนั้นการบำรุงรักษาสีรถจึงเป็นสิ่งจำเป็นและจะต้องกระทำอย่างถูกวิธีด้วย ซึ่งมีวิธีการดังนี้
1. ใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นที่เกาะออกให้หมดก่อนหรือหากรถลุยฝนมาให้ใช้น้ำฉีดโคลนดินออกก่อน โดยเฉพาะตามซอกมุมต่างๆ
2. ใช้น้ำสะอาดผสมแชมพูล้างรถหรือน้ำสบู่ชำระล้างโดยใช้ผ้านิ่มๆ เช่น ผ้าสำลี ผ้าฝ้าย ชุบน้ำเช็ดล้าง จากส่วนบนสุดแล้วไล่ลงมาส่วนล่าง และจะต้องใช้ผ้าแยกกัน สิ่งสำคัญหากใช้ผ้าชำระคราบโคลนควรซักผ้านั้นให้บ่อยครั้ง
ล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 1 หรือ 2 ครั้ง แล้วจึงใช้ผ้าที่แห้งเช็ดน้ำและความเปียกชื้นออกให้หมด
Question: ในห้องเครื่องยนต์มักจะมีคราบน้ำมันสกปรกอยู่ตามชิ้นส่วนต่างๆจะทำความสะอาดได้อย่างไร?
Answer: คราบดำที่ติดอยู่ตามเครื่องยนต์ส่วนใหญ่มักเกิดจากฝุ่นละอองหรือเขม่าไอเสียผสมกับไอน้ำมัน คราบเหล่านี้ เมื่อทิ้งไว้นานๆจะจับแน่นทำความสะอาดได้ยาก วิธีทำความสะอาด นอกจากจะใช้น้ำยาที่ผลิตขึ้นมาเป็นการเฉพาะแล้ว น้ำมันก๊าดก็สามารถใช้ได้ดี ขั้นแรก ล้างห้องเครื่องยนต์ด้วยน้ำผสมแชมพูล้างรถก่อนหลังจากนั้นจึงใช้แปรงจุ่มน้ำมันก๊าดทาลงตรงพื้นที่ที่สกปรกมากๆให้ทั่ว พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้น้ำมันก๊าดถูกชิ้นส่วนที่เป็นยางมากเกินไป หลังจากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้าล้างด้วยเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงก็สามารถนำท่อดูดน้ำยาทำความสะอาดจุ่มลงในภาชนะบรรจุน้ำมันก๊าดเพื่อผสมน้ำมันก๊าดลงในน้ำที่ใช้ฉีดล้างทำความสะอาดได้เลย
Question: รถยนต์ควรล้างหัวฉีดเมื่อไรและมีความจำเป็นแค่ไหน?
Answer: การล้างหัวฉีดในเครื่องยนต์น้ำมันเบาที่มีคุณสมบัติเป็นสารละลายด้วยอย่างน้ำมันเบนซินคงไม่ใช่เรื่องจำเป็นนัก เพราะหัวฉีดของเครื่องยนต์เบนซินไม่ได้ยื่นลงไปในห้องเผาไหม้โดยตรงอย่างเครื่องยนต์ดีเซล แต่จะอยู่หลังลิ้นไอดีหรือในรถบางรุ่นอาจจะอยู่ถอยหลังลงไปในท่อร่วมไอดีเลย ประกอบกับหัวฉีดเป็นชนิดที่เข็มหัวฉีดถูกยกขึ้นด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้าโอกาสอุดตันจึงเกือบไม่มีเลย
Question: ถ้าเติมน้ำมันเครื่องเกินกว่าจุด MAX จะมีผลต่อเครื่องยนต์อย่างไร?
Answer: ในระบบหล่อลื่นเครื่องยนต์นั้นจะมีปั๊มน้ำมันเครื่องติดตั้งอยู่บริเวณอ่างน้ำมันเครื่อง ปั๊มนี้จะฉีกน้ำมันเครื่องให้ไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้คล่องตัว และยังช่วยลดความร้อนได้อีกด้วยสำหรับการเติมน้ำมันเครื่อง ถ้าเติมน้อยเกินไปจะทำให้ปั๊มไม่สามารถดูดน้ำมันเครื่องได้เต็มที่ ปริมาณน้ำมันเครื่องที่เข้าไปหล่อล่นจึงไม่เพียงพอส่งผลให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ถ้าหากเติมมากเกินไป ปริมาณของน้ำมันเครื่องจะล้นเกินอ่าง น้ำมันเครื่องทำให้ชิ้นส่วนเพลาข้อเหวี่ยงแช่อยู่ในน้ำมันเครื่อง ความหนืดก็จะมีมากขึ้น กำลังของเครื่องยนต์ก็จะออกมาไม่เต็มที่ เพราะจะมีแรงต้านจากน้ำมันเครื่องดังนั้นจึงควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ โดยการตรวจเช็คจากเหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องหลังจากดับเครื่องยนต์ประมาณ 3-5 นาที ระดับที่ถูกต้องจะอยู่ที่จุดบนเหล็กวัด และในการวัดควรจอดรถในพื้นที่ราบ
Question: การตรวจสภาพเครื่องยนต์ก่อนออกเดินทางไกล ควรจะปฏิบัติอย่างไร?
Answer: สำหรับท่านที่ออกเดินทางต่างจังหวัดไกลๆ ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้นก่อนออกเดินทางไกล จึงควรเตรียมความพร้อมของเครื่องยนต์เพื่อที่จะสามารถพาผู้ขับขี่และผู้โดยสารให้ไปถึงจุดมุ่งหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย สิ่งที่ผู้ขับขี่ควรทำการตรวจสภาพก่อนออกเดินทางไกล
ระดับน้ำมันเครื่อง ให้ตรวจวัดหลังจากดับเครื่องยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลา 2 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลลงด้านล่างของเครื่องยนต์ก่อน ดึงก้านวัดน้ำมันออกมาแล้วใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำมันออกให้หมดแล้วเสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องกลับเข้าที่จนสุด ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องบนปลายก้านวัด ระดับน้ำมันควรอยู่ระหว่างขีดล่างและขีดบน ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ที่ขีดล่างหรือต่ำกว่าให้เติมน้ำมันเครื่องชนิดและระดับความหนืดที่ระบุอยู่ในคู่มือผู้ใช้รถจนถึงระดับที่ขีดบน
ระดับน้ำระบายความร้อน ดูที่ถังสำรองขณะที่อุณหภูมิของเครื่องยนต์เท่ากับอุณหภูมิของอากาศปกติ ระดับน้ำระบายความร้อนในถังสำรองควรอยู่ระหว่างขีดล่างและขีดบน น้ำระบายความร้อนที่กล่าวถึงเป็นส่วนผสมระหว่างน้ำยารักษาหม้อน้ำ และน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ข้อสำคัญคืออย่าเติมน้ำยารักษาหม้อน้ำหรือน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว
อุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร ควรตรวจยางขอบประตู และยางฝากระโปรงท้ายว่าอยู่ในสภาพดี และอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะการที่ยางอยู่ในสภาพดีจะมีส่วนช่วยทำให้ไม่เกิดเสียงรบกวนขณะขับขี่ นอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้ฝุ่น และน้ำเข้ามาทำความเสียหายแก่ห้องสัมภาระอีกด้วย
ระดับน้ำมันเกียร์ (เกียร์อัตโนมัติ) ควรจอดรถในพื้นที่ที่ได้ระดับ เลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P จากนั้นดึงก้านวัดออกเช็ดทำความสะอาดก่อนเสียบเข้าตำแหน่งเดิม แล้วดึงเหล็กวัดออกมาใหม่ ระดับน้ำมันเกียร์ควรอยู่ระหว่างระดับสูงสุดและระดับต่ำสุด ควรใช้น้ำมันเกียร์ชนิดเดียวกับที่ระบุอยู่ในคู่มือผู้ใช้รถ
แบตเตอรี่ ตรวจดูขั้วสายไฟว่าสะอาด และแน่นดีหรือไม่ ตลอดทั้งตรวจระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับบนสุด
ยาง ตรวจแรงดันลมภายในยาง การเติมลมยางสำหรับรถเดินทางไกลนั้น ควรเติมให้มากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว ส่วนดอกยางนั้นควรมีความลึกไม่น้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร
สัญญาไฟเตือน ตรวจเช็คดูว่าสว่างและดับตามปกติหรือไม่ ตลอดทั้งทดลองเปิดไฟดูทีละระบบ เช่นไฟหน้า ไฟหรี่ ไฟต่ำ ไฟสูง ฯลฯ
Question: การใส่หลอดไฟหน้าด้วยวัตต์ที่สูงกว่ามาตรฐานมีผลอย่างไรต่อรถยนต์?
Answer: วัตต์ของหลอดไฟ หมายถึงกำลังส่องสว่างของหลอดไฟที่แสดงในรูปของปริมาณกำลังไฟ หลอดไฟที่มีวัตต์สูงย่อมต้องการกระแสไฟมากขึ้น การใส่หลอดไฟหน้าด้วยหลอดไฟที่มีวัตต์สูงกว่าที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานของรถรุ่นนั้นๆ ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ ทั้งแบตเตอรี่และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในรถต้องจ่ายกระแสออกมากขึ้น ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่จะจ่ายให้แบตเตอรี่ก็จะน้อยลงเป็นเหตุให้กำลังไฟของแบตเตอรี่ไม่อยู่ในสถานะไฟเต็ม นานๆ ไปกำลังไฟสำรองสำหรับใช้ในการสตาร์ทก็จะไม่พอ ทำให้ไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ นอกจากนั้น แบตเตอรี่ที่มีสภาพไฟไม่เต็มนานๆ ก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนเครื่องกำเนิดไฟที่ต้องจ่ายกระแสไฟออกเป็นปริมาณมากๆอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้เกิดการสึกหรอเร็ว อายุการใช้งานก็จะสั้นลง สรุปว่ามีผลเสียไม่คุ้มกับกำลังส่องสว่างที่ได้มา ถ้าจะเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ ควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีความจุเหมาะสมด้วย
Question: น้ำยาแอร์ในรถ โดยเฉลี่ยกี่ปีจึงต้องเปลี่ยนหรือเติมใหม่?
Answer: ระบบปรับอากาศในรถยนต์ก็เหมือนระบบทำความเย็นทั่วไป คือเป็นระบบปิดน้ำยาแอร์หรือสารทำความเย็นที่อยู่ในระบบจะหมุนเวียนเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นก๊าซแล้วกลับมาเป็นของเหลวอยู่ภายใน ถ้าไม่มีการรั่วไหลของชิ้นส่วนต่างๆ สารหล่อเย็นจะคงอยู่ในระบบตลอดไป สังเกตได้จากตู้เย็นบางตู้สามารถใช้งานได้เป็นสิบปีโดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนหรือเติมสารทำความเย็น
น้ำยาแอร์ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือเติมใหม่ ถ้าระบบไม่มีการรั่วซึม การรั่วซึมอาจเกิดขึ้นได้สองกรณี คือ เกิดจากการผุกร่อนของชิ้นส่วนที่เป็นโลหะอันเนื่องมาจากการสะสมของความชื้น หยดน้ำหรือเกิดจากการชำรุดหรือเสื่อมสภาพของข้อต่อและท่อทางต่างๆ ในระบบ เนื่องจากรถมีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวอยู่เป็นจำนวนมาก อุปกรณ์ในระบบปรับอากาศจึงต้องออกแบบและได้รับการดูแลเป็นพิเศษต่างไปจากตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศที่อยู่ตามบ้านการจัดการกับความชื้นที่สะสมอยู่ในชิ้นส่วนของระบบอุปกรณ์ที่สัมผัสและอ่อนไหวกับความชื้นที่สุดในระบบปรับอากาศรถยนต์ คือ อีวาโพเรเตอร์ หรือ ตู้คอยล์เย็นหรือตู้แอร์ เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดความเย็นของระบบไอน้ำในอากาศที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำจะเกิดขึ้นที่อุปกรณ์นี้ ดังนั้นระบบจึงถูกออกแบบให้มีการระบายหยดน้ำที่เกิดขึ้นด้วย ผู้ใช้รถควรหมั่นสังเกตการระบายหยดน้ำอยู่เสมอ วิธีง่ายๆก็คือ สังเกตว่ามีร่องรอยการไหลของน้ำทุกครั้งที่จอดรถเป็นระยะเวลาหนึ่ง ถ้าร่องรอยการไหลของน้ำหายไปหรือน้อยลงผิดปกติ แสดงว่าระบบระบายน้ำอาจจะอุดตันต้องได้รับการดูแลหรือทำความสะอาดโดยด่วน การใช้ระบบปรับอากาศอย่างถูกต้องในชีวิตประจำวันจะช่วยไล่ความชื้นออกจากตู้แอร์ได้อีกทางหนึ่ง กล่าวคือ หลัง
สตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนเปิดสวิตช์ให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน (สวิตช์ที่มีเครื่องหมาย A/C และมีไฟสีเขียวสว่างเมื่อกดเปิด)ให้เปิดสวิตช์พัดลมไปที่ความเร็วสูงสุดทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วจึงกดสวิตช์คอมเพรสเซอร์ก่อนจะลดความเร็วพัดลมลงสู่ตำแหน่งที่ต้องการเพื่อไล่ความชื้นที่อาจตกค้างอยู่ในตู้แอร์ออกให้หมด เช่นเดียวกับเมื่อจะสิ้นสุดการใช้รถประจำวันก่อนจะถึงที่จอดประมาณ 10-15 นาที ควรปิดสวิตช์คอมเพรสเซอร์แล้วเปิดพัดลมไปที่ตำแหน่งความเร็วสูงสุด จนถึงที่หมายจึงค่อยปิดพัดลมแล้วดับเครื่อง วิธีนี้จะช่วยลดการสะสมของหยดน้ำที่ครีบของขดท่อในตู้แอร์ได้การดูแลรักษาข้อต่อและท่อทางต่างๆ สำหรับข้อต่อในระบบปรับอากาศ คงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใช้รถที่จะตรวจสอบว่ามีรอยรั่วหรือไม่ เพราะอาจต้องใช้เครื่องมือพิเศษ แต่สำหรับท่อทางที่เชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ในระบบซึ่งมีทั้งที่เป็นอะลูมิเนียมและท่อยาง ผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจว่าจุดยึดต่างๆ หลุดหลวมหรือมีส่วนใดสัมผัสหรือเสียดสีกับชิ้นส่วนอื่นๆ หรือไม่ ถ้ามีก็แก้ไขหรือให้ศูนย์บริการแก้ไขเสีย เท่านี้ก็สามารถรักษาอายุการใช้งานของสารหล่อเย็นในระบบให้ยืนยาวเท่าๆกับอายุของชิ้นส่วนต่างๆได้แล้ว
Question: การลากรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ สามารถทำได้หรือไม่?
Answer: การลากรถเกียร์อัตโนมัติก็มีหลักปฏิบัติเช่นเดียวกับการลากรถเกียร์ธรรมดาคือหลีกเลี่ยงการลากโดยปล่อยให้ล้อหน้าสัมผัสและหมุนไปบนพื้นถนน โดยปกติเรามักจะใช้รถลากชนิดที่ยกล้อหน้าขึ้น หรือใช้วิธียกรถทั้งคันขึ้นบรรทุกบนรถลากซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด
การลากรถโดยใช้สายลากล้อหน้าที่เชื่อมต่ออยู่กับเฟืองในห้องเกียร์ ล้อรถที่หมุนไปจะทำให้เฟืองเกียร์หมุนไปด้วย แต่ในขณะที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานระบบน้ำมันในห้องเกียร์จะไม่มีแรงดัน น้ำมันก็จะไม่ได้ไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นอาจจะสึกหรออย่างรวดเร็วจนเกิดความเสียหายได้ วิธีลากรถแบบนี้จึงเป็นวิธีที่ผิด แม้แต่การลากรถโดยยกล้อหน้าขึ้นก็ควรทำในระยะทางสั้นๆ เท่านั้น (ไม่ควรเกิน 50 กม.)
Question: รถยนต์ที่ติดตั้งระบบเบรก ABS ถ้าดึงเบรกมือกะทันหันล้อจะล็อกหรือไม่?
Answer: ระบบเบรก ABS กับกลไกของเบรกมือนั้นแยกเป็นอิสระต่อกันอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมีจุดประสงค์ในการใช้งานต่างกัน ส่วนใหญ่เบรกมือจะใช้แรงดึงจากคันโยกส่งผ่านตามสายสลิงไปดึงกลไกเพื่อกดให้ชุดเบรกที่ล้อหลังทำงาน ส่วนระบบ ABS จะส่งแรงเบรกผ่านระบบไฮดรอลิกโดยมีปั๊มและสวิตช์จ่ายแรงดันที่ควบคุมด้วยวงจรคอมพิวเตอร์และเซนเซอร์ตรวจจับการหมุนของล้อ ถ้าล้อใดมีแนวโน้มว่าจะหมุนช้ากว่าล้ออื่นระบบจะบังคับให้ลดแรงดันไฮดรอลิกของล้อนั้นลงแล้วเพิ่มแรงดันถ้าล้อนั้นหมุนเร็วกว่าล้ออื่น แต่สำหรับเบรกมือ เนื่องจากเป็นระบบกลไก ดังนั้นทุกครั้งที่ดึงคันเบรกมือขึ้นล้อหลังทั้งคู่ก็จะหยุดหมุนหรือล็อกตายเหมือนเวลาที่เราดึงคันเบรกมือขณะจอดรถและไม่แนะนำให้ปฏิบัติในขณะที่รถวิ่งอยู่เป็นอันขาดเพราะอาจทำให้รถหมุนหรือพลิกคว่ำได้
Question: รถเสียศูนย์จะมีลักษณะอาการอย่างไร?
Answer: ศูนย์ของรถโดยนัยก็หมายถึงลักษณะทางกายภาพของตัวรถที่กระทำกับพื้นผิวทางวิ่งโดยผ่านล้อทั้งสี่ จริงๆแล้วศูนย์ของรถนั้นค่อนข้างซับซ้อน มีมุมที่กำหนดไว้ให้ล้อทั้งหน้าและหลังกระทำต่อพื้นหรือกระทำต่อกันมากมาย ทุกมุมจะต้องอยู่ในค่าที่กำหนดจึงจะทำให้การขับขี่และบังคับควบคุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ นอกเหนือจากการวัดโดยเครื่องมือพิเศษแล้ว สามารถสังเกตได้ดังนี้
ขณะรถจอดอยู่กับที่ เมื่อจอดรถบนพื้นผิวที่เป็นระนาบ พวงมาลัยตรง รถจะต้องไม่เอียงหรือยุบตัวไปข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าพิจารณาดูหน้ายางต้องไม่มีร่องรอยของการสึกที่ผิดปกติ เช่น สึกเป็นบั้ง, สึกเฉพาะด้านนอกหรือด้านใน, ดอกยางสึกเป็นรอยเฉือนมีขอบขึ้นคม เป็นต้น เพราะการสึกที่ผิดปกติหมายถึงศูนย์ล้อที่ผิดปกติด้วย
ขณะขับขี่ บนทางเรียบตรง รถต้องไม่มีอาการดึงไปทางซ้ายหรือทางขวา, สั่นสะท้าน ขณะเข้าโค้งในสภาวะปกติต้องไม่มีอาการดื้อโค้ง (Understeer) หรือไวโค้ง (Oversteer)
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ไฟตัดหมอกสีขาวให้เป็นสีเหลืองได้ในราคาถูก
แสดงกรรมวิธี ตั้งแต่ต้นยันจบ
เริ่มจากการถอด และเตรียมอุปกรณ์
มี ฟิลม์ คัตเตอร์ แระ ไดร์ฟเป่าผม
ภาระกิจต่อไปคือ
ทามฟามสะอาดไฟตัดหมอกแร้วนำแชมพู หรือ น้ำยาล้างจาน มาชะโลมหั้ยทั่วไฟตัดหมอก
แร้วตัดฟิลม์ตามขนาดที่ต้องการ ติดที่ไฟตัดหมอกตามรูป
แร้วนับ 1-500 (นับทามมัยฟร่ะ) หมายเถิงทิ้งไว้ ประมาณ 15-20 นาที
แร้วเอาไคร์ฟ เป่าเพื่อไล่ฟามชื้นออกหั้ยหมด
หลังจากนั้นต้องมีสมาธิกับมานมากๆ
แร้วงานจะออกมาเชียบขาด ตามรูปที่แนบมา
ขั้นตอนสุดท้าย ติดตั้ง เข้าไปหั้ยเหมือนเดิม
แต่มันม่ายเหมือนเดิมแร้ว
เพราะตา มานเหลืองแร้วง่า (มานคล้ายๆกับฟ้าเหลืองป่าวฟร่ะเนี่ย) *_*
แร้วผลงานก้อออกมาเป็งแบบนี้
เครดิต พี่สองที่เป็นนายแบบและช่างในตัว ขอบคุณครับ
เริ่มจากการถอด และเตรียมอุปกรณ์
มี ฟิลม์ คัตเตอร์ แระ ไดร์ฟเป่าผม
ภาระกิจต่อไปคือ
ทามฟามสะอาดไฟตัดหมอกแร้วนำแชมพู หรือ น้ำยาล้างจาน มาชะโลมหั้ยทั่วไฟตัดหมอก
แร้วตัดฟิลม์ตามขนาดที่ต้องการ ติดที่ไฟตัดหมอกตามรูป
แร้วนับ 1-500 (นับทามมัยฟร่ะ) หมายเถิงทิ้งไว้ ประมาณ 15-20 นาที
แร้วเอาไคร์ฟ เป่าเพื่อไล่ฟามชื้นออกหั้ยหมด
หลังจากนั้นต้องมีสมาธิกับมานมากๆ
แร้วงานจะออกมาเชียบขาด ตามรูปที่แนบมา
ขั้นตอนสุดท้าย ติดตั้ง เข้าไปหั้ยเหมือนเดิม
แต่มันม่ายเหมือนเดิมแร้ว
เพราะตา มานเหลืองแร้วง่า (มานคล้ายๆกับฟ้าเหลืองป่าวฟร่ะเนี่ย) *_*
แร้วผลงานก้อออกมาเป็งแบบนี้
เครดิต พี่สองที่เป็นนายแบบและช่างในตัว ขอบคุณครับ
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วิธีแก้อาการ heat engine
ในกรณีที่เข็มวัความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ ให้ตรวจสอบเพิ่มเติม ดังนี้ :
1.ดูระดับน้ำในหม้อน้ำและ หม้อพักน้ำว่าลดลงจากระดับปกติหรือไม่? ถ้าลดลง แสดงว่าน่า
จะเกิดการรั่วซึมในระบบระบายความร้อนที่จุดใดจุดหนึ่ง
2.เข็มความร้อนขึ้นเมื่อใด?
2.1.ถ้าขึ้น เมื่อรถติดและลงเมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากพัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน โดยมี
สาเหตุจาก พัดลมไฟฟ้า,รีเลย์พัดลมไฟฟ้า,เทอร์โมสวิตช์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง
หมดเสีย
2.2.ถ้าขึ้น เมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากหม้อน้ำอุดตัน
2.3.ถ้าขึ้นตลอด ทั้งรถติดและรถวิ่ง เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น น้ำในระบบไม่เพียงพอ เนื่อง
จากรั่วซึม(check ได้โดยดูว่ามีคราบน้ำรั่วซึมบ้างรึป่าว) , เทอร์โมสตัทหรือวาวล์น้ำ
ไม่ทำงานทำให้ไม่มีน้ำไปหล่อเย็นเครื่อง (check เบื้องต้นโดย ลองแตะที่ท่อยางน้ำ
ที่ต่อจากเครื่องมาที่ด้านบน เทียบกับท่อยางที่ต่อด้านล่างหม้อน้ำ ถ้าท่อยางด้านล่าง
เย็นกว่าท่อยางด้านบนมาก แสดงว่าวาวล์น้ำผิดปกติ) , ปั้มน้ำเสียทำให้น้ำไปวนหล่อ
เย็นเครื่องไม่พอ
2.4.เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวไม่ขึ้น และก็check อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทุกอย่างแล้วก็ปกติ ก็อาจเป็น
ไปได้ว่าเกจ์วัดแสดงค่าผิดเพี้ยนไป
วิธีตรวจสอบว่าเกจ์วัดความร้อนผิดปกติหรือไม่ :
ระบบมาตรวัดความร้อนเครื่องยนต์ จะประกอบด้วย
1.ส่วนแสดงผล(เข็มแสดงอุณหภูมิที่หน้าปัดเรือนไมล์) เป็น moving coil ที่ทำงานโดยรับ
แรงดันไฟฟ้า จาก ECT gauge sending unit มาแปลงแสดงเป็นระดับค่าอุณหภูมิโดย
เข็มวัดขึ้นลงตาม scale (check เบื้องต้นโดย :ปิด switch กุญแจมาที่ OFF ,ถอด
ขั้ว ECT gauge sending unit ออก , ต่อขั้วของสาย ECT gauge sending unit ลง
ground กับตัวรถ , บิด switch กุญแจไปที่ on และดูว่าถ้าเข็มวัดความร้อนขึ้น ก็แสดงว่า
ปกติ
ข้อควรระวัง ! ต้อง ปิดswitch กุญแจมาที่ off ก่อนที่เข็มจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของ scale
2.ส่วนที่วัดอุณหภูมิ (ECT gauge sending unit = engine coolant temperature gauge
sending unit) เป็นตัวต้านทานปรับค่าได้ตามอุณหภูมิ ( variable resistor) โดยค่าความ
ต้านทานปรับแปรผันกับอุณหภูมิ ความต้านทานจะมากที่อุณหภูมิต่ำ และค่าความต้านทาน
จะน้อยลงทเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น (check เบื้องต้นโดย : ถอดขั้ว ECT gauge sending
unit ออก , ใช้ Ohm meter มาวัดที่ตัว ECT gauge sending unit โดยขั้ว + ของ ohm
meterต่อที่ขั้วของตัว ECT gauge sending unit และขั้ว - ของ ohm meter ต่อกับ
เครื่อง (ground) , ดูค่าที่วัดได้ , ติดเครื่องยนต์เดินเบาจนกว่าพัดลมไฟฟ้าจะทำงาน
(วาวล์น้ำเปิด) , ดูค่าที่วัดได้อีกครั้ง , ถ้าค่าที่ วัดได้ตอนติดเครื่องแตกต่างจากตอนไม่ติดเครื่องตามที่ spec ระบุไว้แสดงว่า ECT gauge sending unit ปกติ แต่ถ้าค่าที่วัดได้แตกต่างกันไม่ได้ตาม spec ที่ระบุไว้แสดงว่า ผิดปกติ (เปลี่ยนตัวใหม่)
หมายเหตุ
1.ตำแหน่งของ ECT gauge sending unit จะอยู่ที่เครื่องบริเวณด้านล่างของช่องน้ำออก
จากเครื่องไปยังหม้อน้ำ(ตรงที่ต่อท่อยางตัวบน ไปหม้อน้ำ)
2.บริเวณเดียวกันนี้ จะมี ECT sensor อยู่อีกตัว ข้อสังเกตคือ ECT gauge sending unit
จะมีสายไปต่ออยู่เส้นเดียว ขณะที่ ECT sensor จะมีสายไฟต่ออยู่ 2 เส้นตัว
3.ตัว ECT gauge sending unit จะอยู่ถัด ECT sensor เข้าไปทางด้านท้ายรถ
4.ค่าความต้านทานของ ECT gauge sending unit ตามที่ระบุใน honda shop manual
4.1.ที่อุณหภูมิ 56 องศาC = 142 ohm
4.2.ที่อุณหภูมิ 85-100 องศาC = 49-32 ohm
วีธีตรวจสอบว่าฝาสูบโก่งหรือปะเก็นฝาสูบแตก ด้วยตัวเอง เบื้องต้น:
1.เปิดฝาหม้อน้ำและดูว่ามีคราบน้ำมันปนเปื้อนอยู่กับน้ำในหม้อน ้ำหรือไม่?
2.ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดูว่ามีน้ำปนเปื้อนกับน้ำมันเครื่องหรือไม่?
3.เปิดฝาหม้อน้ำไว้ แล้วสตาร์ตรถ และดูว่า ในจังหวะสตาร์ตรถ น้ำในหม้อน้ำกระฉอกขึ้นมารึ
ไม่?
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ใช่ ทั้งหมด ก็สันนิฐานเบื้องต้นได้ว่าฝา
สูบน่าจะโก่งหรือประเก็นฝาสูบแตก แก้ไขโดยเปิดฝาสูบมาทำการตรวจสอบทั้งที่ฝาสูบ
และปะเก็นโดยละเอียดอีกคั้งโดยช ่างผู้ชำนาญ
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ไม่ใช่ ก็สันนิษฐานได้ว่าฝาสูบไม่น่าจะ
โก่งหรือประเก็นฝาสูบไม่น่าจะแตก
หมายเหตุ
1.ฝาสูบโดยส่วนใหญ่จะไม่โก่งกันง่ายๆ
2.ฝาสูบจะโก่งก็ต่อเมื่อ รถเกิดความร้อนขึ้นสูงเป็นเวลานานๆ จนเครื่องดับไปเอง หรือ เติม
น้ำลงในหม้อน้ำขณะที่เครื่องยังเย็นตัวไม่พอ
ปล.
1.เรื่องความร้อนที่ผิดปกติเนี่ย อาการพื้นฐานจะคล้ายๆกัน แต่ถ้าไล่ check อาการโดย
ละเอียดแล้วจะพบว่า อาการนั้นๆเกิดจากอุปกรณ์ตัวใด โดยไม่ต้องสุ่มเปลี่ยนอุปกรณ์ไป
เรื่อยๆ
2.เรื่องการเปลี่ยนฝาสูบ อยากให้จัดไว้ท้ายสุด ให้ check จนแน่ใจจิงๆว่า เป็นที่ฝาสูบ แล้ว
จึงค่อยเปลี่ยน
3.ถ้าต้องเปลี่ยนฝาสูบแน่ๆ แนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นของมือสองราคา 3-4 พันบาท ไม่แนะนำ
ให้ไสหรือปาดฝาสูบเดิม
1.ดูระดับน้ำในหม้อน้ำและ หม้อพักน้ำว่าลดลงจากระดับปกติหรือไม่? ถ้าลดลง แสดงว่าน่า
จะเกิดการรั่วซึมในระบบระบายความร้อนที่จุดใดจุดหนึ่ง
2.เข็มความร้อนขึ้นเมื่อใด?
2.1.ถ้าขึ้น เมื่อรถติดและลงเมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากพัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน โดยมี
สาเหตุจาก พัดลมไฟฟ้า,รีเลย์พัดลมไฟฟ้า,เทอร์โมสวิตช์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง
หมดเสีย
2.2.ถ้าขึ้น เมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากหม้อน้ำอุดตัน
2.3.ถ้าขึ้นตลอด ทั้งรถติดและรถวิ่ง เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น น้ำในระบบไม่เพียงพอ เนื่อง
จากรั่วซึม(check ได้โดยดูว่ามีคราบน้ำรั่วซึมบ้างรึป่าว) , เทอร์โมสตัทหรือวาวล์น้ำ
ไม่ทำงานทำให้ไม่มีน้ำไปหล่อเย็นเครื่อง (check เบื้องต้นโดย ลองแตะที่ท่อยางน้ำ
ที่ต่อจากเครื่องมาที่ด้านบน เทียบกับท่อยางที่ต่อด้านล่างหม้อน้ำ ถ้าท่อยางด้านล่าง
เย็นกว่าท่อยางด้านบนมาก แสดงว่าวาวล์น้ำผิดปกติ) , ปั้มน้ำเสียทำให้น้ำไปวนหล่อ
เย็นเครื่องไม่พอ
2.4.เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวไม่ขึ้น และก็check อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทุกอย่างแล้วก็ปกติ ก็อาจเป็น
ไปได้ว่าเกจ์วัดแสดงค่าผิดเพี้ยนไป
วิธีตรวจสอบว่าเกจ์วัดความร้อนผิดปกติหรือไม่ :
ระบบมาตรวัดความร้อนเครื่องยนต์ จะประกอบด้วย
1.ส่วนแสดงผล(เข็มแสดงอุณหภูมิที่หน้าปัดเรือนไมล์) เป็น moving coil ที่ทำงานโดยรับ
แรงดันไฟฟ้า จาก ECT gauge sending unit มาแปลงแสดงเป็นระดับค่าอุณหภูมิโดย
เข็มวัดขึ้นลงตาม scale (check เบื้องต้นโดย :ปิด switch กุญแจมาที่ OFF ,ถอด
ขั้ว ECT gauge sending unit ออก , ต่อขั้วของสาย ECT gauge sending unit ลง
ground กับตัวรถ , บิด switch กุญแจไปที่ on และดูว่าถ้าเข็มวัดความร้อนขึ้น ก็แสดงว่า
ปกติ
ข้อควรระวัง ! ต้อง ปิดswitch กุญแจมาที่ off ก่อนที่เข็มจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของ scale
2.ส่วนที่วัดอุณหภูมิ (ECT gauge sending unit = engine coolant temperature gauge
sending unit) เป็นตัวต้านทานปรับค่าได้ตามอุณหภูมิ ( variable resistor) โดยค่าความ
ต้านทานปรับแปรผันกับอุณหภูมิ ความต้านทานจะมากที่อุณหภูมิต่ำ และค่าความต้านทาน
จะน้อยลงทเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น (check เบื้องต้นโดย : ถอดขั้ว ECT gauge sending
unit ออก , ใช้ Ohm meter มาวัดที่ตัว ECT gauge sending unit โดยขั้ว + ของ ohm
meterต่อที่ขั้วของตัว ECT gauge sending unit และขั้ว - ของ ohm meter ต่อกับ
เครื่อง (ground) , ดูค่าที่วัดได้ , ติดเครื่องยนต์เดินเบาจนกว่าพัดลมไฟฟ้าจะทำงาน
(วาวล์น้ำเปิด) , ดูค่าที่วัดได้อีกครั้ง , ถ้าค่าที่ วัดได้ตอนติดเครื่องแตกต่างจากตอนไม่ติดเครื่องตามที่ spec ระบุไว้แสดงว่า ECT gauge sending unit ปกติ แต่ถ้าค่าที่วัดได้แตกต่างกันไม่ได้ตาม spec ที่ระบุไว้แสดงว่า ผิดปกติ (เปลี่ยนตัวใหม่)
หมายเหตุ
1.ตำแหน่งของ ECT gauge sending unit จะอยู่ที่เครื่องบริเวณด้านล่างของช่องน้ำออก
จากเครื่องไปยังหม้อน้ำ(ตรงที่ต่อท่อยางตัวบน ไปหม้อน้ำ)
2.บริเวณเดียวกันนี้ จะมี ECT sensor อยู่อีกตัว ข้อสังเกตคือ ECT gauge sending unit
จะมีสายไปต่ออยู่เส้นเดียว ขณะที่ ECT sensor จะมีสายไฟต่ออยู่ 2 เส้นตัว
3.ตัว ECT gauge sending unit จะอยู่ถัด ECT sensor เข้าไปทางด้านท้ายรถ
4.ค่าความต้านทานของ ECT gauge sending unit ตามที่ระบุใน honda shop manual
4.1.ที่อุณหภูมิ 56 องศาC = 142 ohm
4.2.ที่อุณหภูมิ 85-100 องศาC = 49-32 ohm
วีธีตรวจสอบว่าฝาสูบโก่งหรือปะเก็นฝาสูบแตก ด้วยตัวเอง เบื้องต้น:
1.เปิดฝาหม้อน้ำและดูว่ามีคราบน้ำมันปนเปื้อนอยู่กับน้ำในหม้อน ้ำหรือไม่?
2.ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดูว่ามีน้ำปนเปื้อนกับน้ำมันเครื่องหรือไม่?
3.เปิดฝาหม้อน้ำไว้ แล้วสตาร์ตรถ และดูว่า ในจังหวะสตาร์ตรถ น้ำในหม้อน้ำกระฉอกขึ้นมารึ
ไม่?
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ใช่ ทั้งหมด ก็สันนิฐานเบื้องต้นได้ว่าฝา
สูบน่าจะโก่งหรือประเก็นฝาสูบแตก แก้ไขโดยเปิดฝาสูบมาทำการตรวจสอบทั้งที่ฝาสูบ
และปะเก็นโดยละเอียดอีกคั้งโดยช ่างผู้ชำนาญ
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ไม่ใช่ ก็สันนิษฐานได้ว่าฝาสูบไม่น่าจะ
โก่งหรือประเก็นฝาสูบไม่น่าจะแตก
หมายเหตุ
1.ฝาสูบโดยส่วนใหญ่จะไม่โก่งกันง่ายๆ
2.ฝาสูบจะโก่งก็ต่อเมื่อ รถเกิดความร้อนขึ้นสูงเป็นเวลานานๆ จนเครื่องดับไปเอง หรือ เติม
น้ำลงในหม้อน้ำขณะที่เครื่องยังเย็นตัวไม่พอ
ปล.
1.เรื่องความร้อนที่ผิดปกติเนี่ย อาการพื้นฐานจะคล้ายๆกัน แต่ถ้าไล่ check อาการโดย
ละเอียดแล้วจะพบว่า อาการนั้นๆเกิดจากอุปกรณ์ตัวใด โดยไม่ต้องสุ่มเปลี่ยนอุปกรณ์ไป
เรื่อยๆ
2.เรื่องการเปลี่ยนฝาสูบ อยากให้จัดไว้ท้ายสุด ให้ check จนแน่ใจจิงๆว่า เป็นที่ฝาสูบ แล้ว
จึงค่อยเปลี่ยน
3.ถ้าต้องเปลี่ยนฝาสูบแน่ๆ แนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นของมือสองราคา 3-4 พันบาท ไม่แนะนำ
ให้ไสหรือปาดฝาสูบเดิม
ข้อดี-ข้อเสีย sohc vs dohc
DOHC( DOBLE OVER HEAD CAMSHAF) และ SOHC ( Single Over Head CamShaf) ซึ่งเจ้าสองตัวนี้หลายคนคงคุ้นชื่อกันมาบ้างแล้วคับส่วนOHV หรือ
OVER HEAD VALE นั้นไม่เป็นที่นิยมแล้วเพราะมีข้อด้อยกว่า DOHC และ SOHC พอสมควรคับ โดยDOHCนั้นหมายถึงแคมคู่โดยแต่ละฝั่งไอดีและไอเสียจะมีแคมชาฟท์เป็นของตัวเองอย่างละอัน ส่วนSOHCนั้นหมายถึงแคมตัวเดียวแต่แบ่งกันใช้ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย ทำให้อุปนิสัยของเคื่องยนต์ค่อนข้างต่างกันที่เดียว โดยแต่ละฝั่งก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันคับ
ข้อดีของแคมคู่คับ (คร่าวๆนะคับ)
1.ให้กำลังดีในรอบกลางถึงสูง
2.มีความแม่นยำในการเปิดปิดวาวล์มากกว่าSOHC
3.ลดการสูญเสียพลังงาน
4.ให้การตอบสนองที่ดีคับ
ข้อเสียของแคมคู่คับ(คร่าวๆนะคับ)
1.เปลืองน้ำมันกว่าSOHCคับ
2.ให้กำลังน้อยกว่าSOHCในรอบต่ำคับ
3.ไม่เหมาะที่จะใช้ในเกียร์ออโต้
ข้อดีของแคมเดี่ยวคับ (คร่าวๆนะคับ)
1.ประหยัดน้ำมันก่าDOHCคับ
2.ให้กำลังดีตั้งแต่ต้น-กลาง
3.เหมาะที่จะใช้กับเกียร์ออโต้
4.เหมาะที่จะใช้ในเมือง
ข้อเสียของแคมเดี่ยวคับ (คร่าวๆนะคับ)
1.ให้กำลังในรอบสูงน้อย
2.มีชิ้นส่วนต่างๆมากกว่าDOHC
3.ให้การตอบสนองช้ากว่าDOHC
4.มีความแม่นยำในการเปิดปิดน้อยกว่าDOHCคับ
5.มีการสูญเสียพลังงานมากก่าDOHCคับ
OVER HEAD VALE นั้นไม่เป็นที่นิยมแล้วเพราะมีข้อด้อยกว่า DOHC และ SOHC พอสมควรคับ โดยDOHCนั้นหมายถึงแคมคู่โดยแต่ละฝั่งไอดีและไอเสียจะมีแคมชาฟท์เป็นของตัวเองอย่างละอัน ส่วนSOHCนั้นหมายถึงแคมตัวเดียวแต่แบ่งกันใช้ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย ทำให้อุปนิสัยของเคื่องยนต์ค่อนข้างต่างกันที่เดียว โดยแต่ละฝั่งก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันคับ
ข้อดีของแคมคู่คับ (คร่าวๆนะคับ)
1.ให้กำลังดีในรอบกลางถึงสูง
2.มีความแม่นยำในการเปิดปิดวาวล์มากกว่าSOHC
3.ลดการสูญเสียพลังงาน
4.ให้การตอบสนองที่ดีคับ
ข้อเสียของแคมคู่คับ(คร่าวๆนะคับ)
1.เปลืองน้ำมันกว่าSOHCคับ
2.ให้กำลังน้อยกว่าSOHCในรอบต่ำคับ
3.ไม่เหมาะที่จะใช้ในเกียร์ออโต้
ข้อดีของแคมเดี่ยวคับ (คร่าวๆนะคับ)
1.ประหยัดน้ำมันก่าDOHCคับ
2.ให้กำลังดีตั้งแต่ต้น-กลาง
3.เหมาะที่จะใช้กับเกียร์ออโต้
4.เหมาะที่จะใช้ในเมือง
ข้อเสียของแคมเดี่ยวคับ (คร่าวๆนะคับ)
1.ให้กำลังในรอบสูงน้อย
2.มีชิ้นส่วนต่างๆมากกว่าDOHC
3.ให้การตอบสนองช้ากว่าDOHC
4.มีความแม่นยำในการเปิดปิดน้อยกว่าDOHCคับ
5.มีการสูญเสียพลังงานมากก่าDOHCคับ
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)